วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

ไขมันทรานส์ อันตรายเห็นๆ มาหลีกเลี่ยงกันเถอะ

"ไขมันทรานส์" อันตรายใกล้ตัว
เผย! ส่งผลมากกว่าแค่อ้วน-บั่นทอนชีวิตที่คุณรัก

ของทอด ขนมขบเคี้ยว เค้ก คุกกี้ แครกเกอร์ ขนมปัง ทั้งหลายที่เรียงรายกันอยู่บนชั้นซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านฟาสต์ฟู้ดต่างๆ นั้น ทั้งสีสันและรสชาติของมัน ใครเห็นก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่างยั่วน้ำลายเสียนี่กระไร แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่า ภายใต้หน้าตาและรสชาติที่ทำให้คุณติดอกติดใจนั้น มันซ่อนอันตรายต่อสุขภาพที่มากกว่าแค่ทำให้คุณอ้วน (คุณอาจไม่สนใจนัก หากคุณไม่ได้กังวลเรื่องรูปร่างสักเท่าไหร่) แต่มันยังอาจบั่นทอนชีวิตที่คุณรัก ให้สั้นลงโดยไม่รู้ตัว

คุณอาจจะนึกไม่ถึงว่า ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารนั้นมีการแข่งขันกันสูงเพียงไร ยิ่งลดต้นทุนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเก็บกำไรเข้ากระเป๋าได้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น จึงมีการใช้ส่วนผสมราคาถูกเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์คงรูปร่างได้นาน และเก็บได้นานมากยิ่งขึ้น นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่า เหตุใดเจ้า "ไขมันทรานส์ (Trans fatty acids)" จึงได้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปประเภทต่างๆ เพราะไขมันทรานส์ ก็คือไขมันพืชที่ถูกนำไปผ่านกระบวนการแปรรูปทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า "ไฮโดรจิเนชั่น (Hydrogenation)" ซึ่งจะทำให้ไขมันชนิดนี้คงตัวอยู่ได้นานมากขึ้น ดังนั้น อาหารที่ทำจากไขมันทรานส์จึงเก็บได้นาน ไม่เสียง่าย ไม่มีกลิ่นหืน มีรสชาติถูกปาก แถมราคายังไม่แพงอีกด้วย

ไขมันทรานส์ พบมากในอาหารพวกทอดๆ ทั้งหลาย รวมทั้งอาหารฟาสต์ฟู้ด ขนมเบเกอรี่ เช่น คุกกี้ ขนมปังที่มีส่วนผสมของ เนยขาว (shortening) และมาการีน (margarine) รวมไปถึงพวกขนมสำเร็จรูปกรุบกรอบต่างๆ ที่เรามักจะซื้อติดไม้ติดมือเสมอตอนไปซูเปอร์มาร์เก็ตนั่นเอง

ในบรรดาไขมันทั้งหลาย นักโภชนาการจัดให้ไขมันทรานส์นั้นอันตรายเป็นอันดับหนึ่ง เพราะนอกจากมันจะเข้าไปเพิ่มระดับ LDL (low-density lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือด เช่นเดียวกับการบริโภคไขมันอิ่มตัว (ไขมันจากสัตว์และน้ำมันปาล์ม) แล้ว มันยังลดระดับ HDL (high-density lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือดอีกด้วย ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประชากรโลกเลยทีเดียว

หากจะกล่าวว่า ขณะนี้ ไขมันทรานส์ ได้กลายเป็นศัตรูอันดับต้นๆ ของคนรักสุขภาพทั่วโลกก็คงจะไม่เกินความจริงไปนัก เพราะในหลายๆ ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ต่างออกข้อบังคับเกี่ยวกับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ และให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการจำกัดการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์ นอกจากนี้ บางรัฐในสหรัฐอเมริกา เช่น นิวยอร์กได้ออกมาประกาศว่าจะเป็นรัฐแรกในสหรัฐอเมริกาที่ปลอดไขมันทรานส์ โดยออกมาตรการให้บรรดาร้านอาหาร ภัตตาคาร และผู้ประกอบการด้านอาหารทั้งหลาย ค่อยๆ ลดการใช้ไขมันชนิดนี้ในการปรุงอาหาร และหยุดใช้โดยเด็ดขาดทั่วทั้งนิวยอร์กภายในเดือน ก.ค.2551

สำหรับในประเทศไทย เนื่องจากยังไม่มีมาตรการทางกฎหมายใดๆ มาควบคุมการใช้หรือบังคับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ ในฐานะผู้บริโภค เราจึงควรดูแลตัวเองด้วยการระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารประเภทของทอด ซึ่งใช้น้ำมันทอดซ้ำๆ จนหนืด พวกขนมขบเคี้ยวที่เก็บไว้นานๆ ก็ยังกรุบกรอบ รวมทั้ง ที่มีส่วนประกอบของเนยขาวและมาการีน อย่างไรก็ดี แต่ยังนับเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆ ที่ยังมีผู้ผลิตอาหารที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค ด้วยการหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์และใช้ไขมันจากธรรมชาติแทน เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่มีความห่วงใยในสุขภาพของตนเอง เช่น โอ บอง แปง ต้นตำรับเบเกอรี่คาเฟ่ จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ริเริ่มเบเกอรี่สูตร ซีโร่ แกรมส์ ทรานส์ แฟท (Zero Grams Trans Fat) ขึ้นในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 และปัจจุบัน โอ บอง แปง ซึ่งมีสาขากว่า 38 สาขาในประเทศไทย รู้อย่างนี้แล้วก็ต้องเลือกอาหารบริโภคให้ดีนะคะ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

มะรุม พืชมหัศจรรย์

วันนี้มีโอกาสได้ท่องเน็ตจนสมใจก็เลยไปเจอบทความที่ชื่อว่า "มะรุม พืชมหัศจรรย์" จากเวปไซด์ http://thaiherbclinic.com/node/141 ก็เลยอยากจะนำมาแบ่งปันให้พี่น้องได้อ่านกันครับ

ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมแคปซูลมะรุมที่ร้านจำหน่ายอยู่ถึงได้ขายดีนัก เรามีทั้งแคปซูลและชามะรุมครับ


มะรุม พืชมหัศจรรย์

มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น

ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณ :

ฝัก - ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)

ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก
- แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย

จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้

ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน

"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ภาคเหนือเรียก “มะค้อมก้อน” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” เป็นต้น

ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้

ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง “ผงนัว” กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก

คุณค่าทางอาหารของมะรุม
มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบ มะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ

วิตามินเอ บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้ แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบ มะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ประโยชน์ของมะรุม
1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วย เพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ

น้ำมันมะรุม
สรรพคุณ
..ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติก เป็นต้น

ชะลอความแก่
กล่าว กันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจาก การกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม


ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน 26 แคลอรี
โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน 0.1 กรัม
ใยอาหาร 4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน 110 ไมโครกรัม
แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)

ทั้งนี้ กลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ (เอออร์ตา) โดย
กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย
ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอล ในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ
งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลอง เกิดความเสียหายโดยไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีน
ทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้


เอกสารอ้างอิง:

Nature’s Medicine Cabinet by Sanford Holst
The Miracle Tree by Lowell Fuglie
LA times March 27th 2000 article wrote by Mark Fritz. WWW.PUBMED.GOV. (Search for Moringa) (Antiviral Research Volume 60, Issue 3, Nov. 2003, Pages 175-180: Depts. of Microbiology, Pharmaceutical Botany, Pharmacology, Faculty of Pharmaceutical Science, Chulalongkorn University, Bangkok.

นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ 29 ฉบับที่ 338 มิถุนายน 2550

บทความจาก: http://thaiherbclinic.com/node/141

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ สบู่ถ่านและสบู่ถั่วเขียว Urban Tree Organics proudly presents our new products!

#1:::::สบู่ถ่านไม้ไผ่ กลิ่น: เปปเปอร์มินต์
(Bamboo Charcoal Soap, peppermint fragrance)

คุณสมบัติ: สบู่ถ่านไม้ไผ่ ที่ทำจากผงถ่านไม้ไผ่เผาที่อุณหภูมิกว่า 1,000 องศาเซลเซียส จึงสามารถปล่อยประจุไฟฟ้าลบเพื่ ดูดซับสารพิษ และสารเคมีตกค้างในรูขุมขน ปรับสภาพ และบำรุงผิวให้สะอาด สดใสเนียนนุ่ม ระงับกลิ่นกาย และเชื้อแบคทีเรีย

ส่วนประกอบ: Ingredient: Coconut oil, palm kernel oil, rice bran oil, mineral water, bamboo charcoal powder, fresh orange essencial oil, peppermint fragrance

#2:::::สบู่ถั่วเขียว กลิ่นน้ำนมข้าว
(Green Bean Soap, rice milk fragrance)

คุณสมบัติ: สบู่ถั่วเขียวผสมขมิ้นชัน ปลอดสารพิษ ดูดซับความมัน และขจัดคราบไคล ทำให้ผิว
สะอาด ไม่แห้งตึง ลดอาการอักเสบและบำรุงผิวพรรณให้นุ่มเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย

ส่วนประกอบ: Ingredient: Coconut oil ,palm kernet oil,soy bean oil,mineral water,green bean powder,rice milk fragrance

ราคา: ๓๕ บาท (35 baht per item)

น้ำมันมะพร้าว...ผู้ร้ายที่กลับกลายมาเป็นพระเอก::ตั้งตัว บทความจาก the-arokaya.com

น้ำมันมะพร้าว...ผู้ร้ายที่กลับกลายมาเป็นพระเอก::ตั้งตัว
บทความจาก www.the-arokaya.com โดยหมอแดง

นิตยสารตั้งตัว กันยายน 2550
น้ำมันมะพร้าว........ผู้ร้ายที่กลับกลายมาเป็นพระเอก (ขี่ม้าขาวซะด้วย)

ที่ เขาบอกกันว่า “ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน” นั้นคงไม่เกินความจริงไปมากนัก อะไรที่ว่าดีหรือใครที่ว่าดีๆสุดยอด ได้รับการยกย่องเชิดชู ก็อาจกลับกลายเป็นสุดแย่ อะไรที่เคยถูกมองถูกกล่าวหาว่าเป็นของไม่ดี เป็นผู้ร้าย ก็อาจกลับกลายเป็นของดี หรือเป็นพระเอกขึ้นมาได้

“น้ำมัน มะพร้าวและกะทิ” ที่เรากลัวกันนักหนา ในแวดวงการแพทย์ โดยเฉพาะแพทย์โรคหัวใจไม่ว่าของต่างประเทศหรือของไทยเราบอกว่า อย่ากินหรือกินให้น้อยๆ หน่อย เพราะมันเป็นน้ำมันที่อิ่มตัว ทำให้คอเลสเตอรอลสูง เป็นต้นเหตุให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้หัวใจวายเพราะขาดเลือด และบอกให้เราไปรับประทานน้ำมันที่ไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอยแทน ซึ่งน้ำมันเหล่านี้ ต้องนำเข้า หรือซื้อวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตมาจากประเทศอเมริกาเป็นส่วนใหญ่

เรา และเพื่อนบ้านชาวเอเซีย รวมถึงหมู่เกาะต่างๆในแถบแปซิฟิค ที่เคยมีมะพร้าวเป็นส่วนประกอบของอาหารในการดำเนินชีวิต รวมถึงเป็นสินค้าส่งออก ต่างประสบปัญหาไปตามๆ กัน อย่าว่าแต่จะส่งออกเลย ภายในประเทศก็ยังขายไม่ค่อยได้ ต่างก็พากันหลงเชื่อ และหลีกหนี “กะทิและน้ำมันมะพร้าว” โรงงานผลิดน้ำมันมะพร้าวต้องปิดตัวลง ชาวสวนมะพร้าวขายมะพร้าวไม่ได้ ไม่คุ้มค่าจ้างลิงเก็บมะพร้าว พากันโค่นต้นมะพร้าวเอาพื้นที่ไปเลี้ยงกุ้ง ทั้งลิงและคนเลี้ยงลิงต้องพากันตกงาน หันไปแสดงโชว์การเก็บมะพร้าวให้คณะทัวร์ดูบ้าง รับจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ถ่ายทำโฆษณากระเบื้องมุงหลังคา หรือไม่ก็ไปแสดงละครลิง เพื่อความอยู่รอด

เมื่อ เราเลิกกิน เลิกใช้น้ำมันมะพร้าว หันไปกินไปใช้น้ำมันประเภทไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นน้ำมันถั่วเหลืองเป็นส่วนใหญ่ ปรากฎว่าได้ผล(เสีย)เกินคาด ประชาชนพลเมือง พากันอ้วนพุงพลุ้ยกันเป็นแถว ตามติดมาด้วยโรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะประเทศอเมริกา(ตัวต้นเหตุ) ก็ต้องรับผลกรรมนี้ไปเต็มๆ ก็ถือว่าสมควรแก่เหตุ ที่มารังแกชาวสวนมะพร้าวของพวกเรา

และ ก็เป็นนักวิจัยของอเมริกาเองอีกนั่นแหละ ที่มาเปิดโปงความดีความงามของ “น้ำมันมะพร้าว” ที่ถูกนักวิจัยที่นิสัยไม่ดี ปกปิด ซ้อนเงื่อนงำเอาไว้ แล้วกลับไปยกย่องเชิดชูน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด ที่อเมริกาผลิตขึ้นออกขายเอง (หวังจะรวยคนเดียว) แต่ความจริงก็คือความจริง จะปิดบังอย่างไรก็ปิดไม่ได้หรอกครับ

และแล้ว “มะพร้าว” ก็กลับมาเหมือนพระเอกขี่ม้าขาว ที่ได้รับชัยชนะได้รับการยกย่องเชิดชูเป็น “ต้นไม้ให้ชีวิต (Tree of Life)” เพราะเป็นต้นไม้ที่มีคุณค่าเอนกประสงค์ ใช้ประโยชน์ได้หมด ตั้งแต่ราก จนถึงสุดปลายยอด ใช้กิน ใช้ทา ใช้เป็นยา ใช้ปลูกสร้างบ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอยได้สารพัด จนบรรยายไม่หมด


นับแต่นี้ต่อไป เราจะได้กินได้ใช้มะพร้าว โดยเฉพาะ “น้ำมันมะพร้าวและกะทิ” กันอย่างหน้าชื่นตาบานกันเสียที ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ กลัวใครจะว่า เราคงกินแกงเขียวหวานไก่ ลอดช่องแตงไทยใส่น้ำกระทิได้อย่างสบายใจ ไม่มีใครมาคอยดุด่าเรา ให้ลำคาญใจ หาว่าเราไม่รักสุขภาพ (หลังจากที่เราถูกสอนให้กลัวน้ำมันมะพร้าวและกะทิ กันมาร่วม 40 ปี)

ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานเครือข่ายพืชปลูกพื้นเมืองไทย ซึ่งท่านเป็นตัวตั้งตัวตีในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวให้คน ไทยได้เข้าใจถึงคุณค่า ได้รวบรวมข้อมูลผลงานวิจัย และเขียนบทความไว้มากมาย และที่ง่ายๆ คือหาข้อมูลจากเว็ปไซด์ ผมขอยกเอาคุณสมบัติบางส่วนของ “น้ำมันมะพร้าว”มาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ รับรู้ไว้บ้าง จะได้ไม่เชย

น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันจากพืชชนิดเดียวในโลก ที่มี “กรดลอริก” อยู่ในปริมาณที่สูงมาก (48-53 เปอร์เซ็นต์) และกรดชนิดนี้เองที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติที่ดีเด่น และพิเศษกว่าน้ำมันพืชอื่นๆ ในการเสริมสุขภาพและความงามของมนุษย์

เมื่อร่างกายรับ “กรดลอริก” นี้เข้า จะเปลี่ยนเป็น “โมโนลอริน” ซึ่งเป็นสารตัวกับที่อยู่ในน้ำนมแม่ ที่ช่วย
สร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกในระยะ 6 เดือนแรก ที่ร่างกายยังไม่สร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เด็กระยะแรกเกิดไม่ค่อยเป็นโรคอะไร

โม โนลอริน เป็นสารปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อโรคทุกชนิด ที่ดีกว่ายาปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ โปรโตซัว และไวรัส รวมทั้งเชื้อที่ก่อให้หลอดเลือดแข็งตัว เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้น้ำมันมะพร้าวมี่ข้อดีเด่น 3 ประการ

เชื้อโรคที่ยาปฏิชีวนะทั่วไปทำลายไม่ได้ เพราะมัน หัวแข็ง เนื่องจากมีเกราะที่เป็นไขมันห่อหุ้มเยื่อของเซล น้ำมันมะพร้าวจะทำลายเกราะนี้ลงไ ด้ เพื่อเปิดโดกาสให้โมโนลอรินเข้าไปฆ่าทีหลัง

  1. น้ำมัน มะพร้าว ไม่เพิ่มการดื้อยาของเชื้อโรค ดังเช่นยาปฏิชีวนะทั่วๆ ไป ซึ่งมักจะเกิดปัญหาที่ต้องใช้ยาในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ใช้ไม่ได้อีก
  2. สาร ปฏิชีวนะในน้ำมันมะพร้าว ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ และจะถูกสร้างขึ้นในร่างกายของมนุษย์ เมื่อบริโภคอาหารที่มีกรดลอริก อีกทั้งไม่เป็นอันตรายต่อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในลำไส้

    นี่ แค่พูดกันถึงของดีที่อยู่ในน้ำมันมะพร้าวเพียงตัวเดียว ยังยอดเยี่ยมขนาดนี้ ยังมีของดีอีกมากมาย เช่น วิตามินอี ที่เป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระ และใช้ในการสร้างเสริมความงามได้ตลอดทั้งตัว ตั้งแต่เส้นผม ถึงปลายนิ้วเท้าเลยทีเดียว

    ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ เพราะน้ำมันมะพร้าว มีคอเลสเตอรอลน้อยมาก น้อยกว่าน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันพืชตัวอื่นๆ ที่ใช้กันอยู่ และวิตามินอีในน้ำมันมะพร้าว จะช่วยลดความหนืดของเลือด ขยายหลอดเลือด และป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ

ช่วย เร่งอัตราการเผาผลาญอาหาร หรือให้มีขบวนการเมตาบอลิซึมสูง เกิดเป็นพลังงานสำหรับใช้ในการดำรงชีวิต อีกทั้งยังช่วยทำลายไขมันที่ร่างกายสะสมอยู่ นำไปใช้เป็นพลังงาน ทำไห้ “ไม่อ้วน หรือสามารถลดความอ้วนถ้าอ้วนอยู่ก่อนแล้ว” ข้อนี้คงถูกใจสาวๆ และ สาวน้อยทั้งหลาย ที่มีปัญหาอยู่แน่ๆ

เมื่อ เร่งขบวนการเผาผลาญอาหาร น้ำตาลก็ต้องถูกกำจัดไปด้วย ทำให้ร่างกายไม่สะสมน้ำตาล จึงเป็นการลดอัตราการเกิด “โรคเบาหวาน” หรือเป็นการควบคุมน้ำตาลในผู้ที่เป็นอยู่แล้ว

โรคต่อมลูกหมากโต ที่เป็นโรคที่สุภาพบุรุษสูงอายุเผชิญกันอยู่ ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวมากินเลย ผมได้ให้คนไข้ที่เป็นโรคนี้มาช้านาน บอกเวลาปัสสาวะทีไม่ค่อยจะลงโถส้าม มันส่ายซ้ายทีขวาที ขึ้นบนลงล่าง มั่วไปหมด ปรากฏว่าอาการดีขึ้น ภายใน 10 วัน เคยตื่นขึ้นปัสสาวะ 7 ครั้ง ก็เหลือ 2 ครั้ง ปัสสาวะได้ครั้งละมากๆ

และ ยังช่วยและยับยั้งโรคอีกหลายโรค เช่น โรคปวดเมื่อย โรคชราภาพก่อนวัย โรคมะเร็งผิวหนัง โรคกระดูก โรคที่เกิดจากเชื้อต่างๆ โรคผิวหนัง รังแคหนังศรีษะ ใช้ชโลมตัว ทำให้ผิวสวย ดูมีน้ำมีนวลขึ้น ประโยชน์มากมายเลย แล้วท่านจะไม่ลองใช้ดูบ้างหรือ ควรลองนะ ไม่น่าเสียหายอะไร

ใช้ กินได้เลย วันละ 3- 4 ช้อนโต๊ะใส่ในกาแฟ น้ำชา หรือเทใส่ช้อนเข้าปาก แล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามได้เลย ไม่ยากลองดูสักเดือนสองเดือน ก็จะเห็นผลว่าดีหนือไม่

น้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็นกับการลดน้ำหนัก

น้ำมันมะพร้าวกับการลดน้ำหนัก

หากคุณเป็นคนอ้วนคนที่พยายามลดความอ้วน โดยการรับประทานอาหารประเภทไขมันต่ำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่สำเร็จ ไม่ต้องเสียใจไป เพราะคุณไม่ใช่คนเดียวหรอกที่ไม่สามารถลดความอ้วนได้ด้วยการรับประทานอาหาร ไขมันต่ำ

สัจธรรม อันหนึ่งก็คือ อาหารไขมันต่ำ ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักอย่างถาวรแต่อย่างใด คุณอาจจะลดน้ำหนักลงได้ชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าคุณสามารถอดอาหารได้ แต่คุณต้องทนหิวอย่างสุดแสนจะทรมานตลอดเวลา และเพื่อที่จะลดน้ำหนักส่วนเกินของคุณออกไป มันเป็นการยากที่จะกินอาหารไขมันต่ำเป็นระยะเวลานาน ๆ และคนส่วนใหญ่ มักกลับไปกินอาหารแบบเดิม และนี่เอง ที่ทำให้เพิ่มน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิม มีผลงานวิจัยที่แสดงว่า คนที่บริโภคอาหารที่มีไขมันอย่างพอเพียง จะกินอาหารน้อยกว่าคนที่พยายามลดปริมาณไขมันในอาหาร ยิ่งคุณกินน้อยเท่าไร ปริมาณแคลอรีก็จะน้อยตามไปด้วย ดังนั้นการได้ปริมาณไขมันในอาหารอย่างพอเพียง จึงมีความจำเป็นสำหรับการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ และอย่างถาวร ในขณะที่ไขมันทุกชนิดสามารถระงับความอยากกินอาหารได้ แต่มีไขมันบางอย่างที่ช่วยลดน้ำหนักได้ดีกว่าอย่างอื่น ในเรื่องนี้ ได้มีนักวิจัยที่มหา วิทยาลัยแม๊กกิล ในเมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ที่ได้ปรุงอาหารไขมันสูตรพิเศษ ที่ช่วยรักษาโรคอ้วนได้ อาหารนี้บริบูรณ์ด้วยไขมันที่ประกอบด้วยไตรกลีเซอไรด์สายโซ่ขนาดกลาง (medium-chain triglycerides-MCT) ในขณะที่อาหารส่วนใหญ่ ที่เราบริโภคเป็นประจำ เป็นไขมันที่ประกอบด้วยไตรกลีเซอไรด์สายโซ่ขนาดยาว (long-chain triglycerides-LCT) ขนาดของโมเลกุลของไขมันมีความสำคัญมาก เพราะร่างกายของเราแปรรูปและเปลี่ยนมันให้เป็นพลังงานในกระบวนการเมตาบอลิส ซึม (metabolism) แตกต่างกันตามขนาดของโมเลกุล

น้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มเมล็ดใน เป็นน้ำมันพืชเพียง 2 ชนิดที่เป็นไขมันประเภท MCT โดยที่น้ำมันมะพร้าวมี MCT มากที่สุด คือ 66% ในขณะที่ น้ำมันปาล์มเมล็ดใน มี 57%

ในการศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน Journal of Nutrition พบว่าอาหารที่ประกอบด้วย MCT ทำให้เกิดการเพิ่มพลังงาน, การเพิ่มกระบวนการเมตาบอลิสซึม, การเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี, การลดการบริโภคอาหาร, การลดมวลไขมันในร่างกาย และ การลดน้ำหนักตัว ดังนั้นผู้วิจัยจึงแนะนำให้ใช้น้ำมันที่ประกอบด้วย MCT เช่นน้ำมันมะพร้าว เพื่อใช้ในการลดไขมันส่วนเกิน ควบคุมน้ำหนักตัว และแม้กระทั่งลดความอ้วน

เหตุผล หนึ่งที่น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ในการลดไขมันของร่างกาย และลดน้ำหนัก ก็เพราะมันมีพลังงานน้อยกว่าไขมันอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงได้ชื่อว่า เป็นน้ำมันชนิดเดียวในโลก ที่เป็นไขมันธรรมชาติ ที่มีแคลอรีต่ำที่สุด เมื่อคุณเติมน้ำมันมะพร้าวลงในอาหาร คุณสามารถกินอาหารชนิดเดียวกับที่คุณเคยกิน แต่ได้แคลอรีน้อยกว่า

นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวยังมีผลต่อกระบวนการเมตาบอลิสซึม MCT ในน้ำมันมะพร้าว มีขนาดเล็กกว่าในน้ำมันอื่น ๆ เพราะฉะนั้น มันจึงถูกย่อยได้เร็วมาก เร็วจนกระทั่งร่างกายของเรา ใช้มันเป็นแหล่งของพลังงานทันที มากกว่าที่จะนำไปสะสมเป็นอาหารสำรองในรูปของไขมันที่ไปสะสมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพราะว่า MCT ถูกใช้โดยร่างกายเป็นแหล่งของเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงาน มันจึงมีผลในการกระตุ้นกระบวนการเมตาบอลิสซึม ช่วยเพิ่มการใช้แคลอรีของร่างกาย

ด้วย เหตุนี้ แคลอรีที่เราบริโภคเข้าไปในรูปของอาหาร จึงถูกเผาผลาญในอัตราสูงขึ้น จึงมีจำนวนน้อยที่เหลือสะสมเป็นไขมันในร่างกาย การกระตุ้นเมตาบอลิสซึมนี้ เกิดขึ้นเป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมงหลังจากกินอาหารที่มี MCT ผลลัพธ์ก็คือ คุณได้พลังงานที่เพิ่มขึ้น และเผาผลาญแคลอรีในอัตราที่เพิ่มขึ้นเป็นเวลาหลายชั่วโมงหลังจากกินอาหาร เข้าไป อีกสิ่งหนึ่งที่น้ำมันมะพร้าวช่วยได้ก็คือ มันช่วยลดปริมาณรวมของการบริโภคอาหารและแคลอรี น้ำมันมะพร้าวช่วยได้ดีกว่าน้ำมันอื่น ๆ เมื่อเติมน้ำมันมะพร้าวลงไปในอาหาร คุณจะกินอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มนานขึ้น จึงไม่กินมากขึ้นในมื้อต่อไป

การ เปลี่ยนประเภทของน้ำมันที่ใช้ในการเตรียมอาหาร เป็นวิธีที่ง่าย และสะดวก แต่ช่วยให้คุณลดน้ำหนักลงได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร ทั้งนี้ เพราะคุณไม่ต้องปรับสภาพการกินอาหาร หรือเปลี่ยนชนิดของอาหาร และที่สำคัญ คุณไม่ต้องทนทรมานในการอดอาหาร หรือกินอาหารไขมันต่ำที่ปราศจากรสชาติ แต่มีราคาแพงลิบลิ่ว นอกจากนั้น ยังเป็นวิธีที่ได้ผลอย่างถาวร.

คุณประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin Coconut Oil)






คุณประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin Coconut Oil)

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติปราศจากสารเคมี สังเคราะห์ใดๆเจือปน โดยเฉพาะยากำจัดศัตรูพืช เนื่องจากกรดไขมันในน้ำมันมะพร้าวมีชนาดโมเลกุลที่เล็ก ทำให้ถูกดูดซึมเข้าไปได้ง่าย มีกรดลอริกในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษในการเสริมสุขภาพและความงามของมนุษย์ มีกรดคาปริกที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของกรดลอริก วิตามินอีที่มีสารโทโคไทรอีนอล ทำให้สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าวิตามีนอีทั่วๆไป

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์กับความงาม

ผม และหนังศีรษะ

มีสารปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อโรคที่ทำให้เกิดรังแค และรักษาหนังศีรษะ ช่วยให้ผมนุ่มดกดำเงางาม ปรับสภาพเสริมการเจริญของเส้นผม เส้นผมแข็งแรงมีความยืดหยุ่นทนทานต่อการบิดงอและมีความเหนียว ลดการแตกหักและหลุดล่วงของเส้นผม

ผิว

ทำให้ผิวพรรณนุ่มไม่แตกแห้ง เป็นกระ หรือผ้า ทำให้ชุ่มชื้นและผิวเนียนลดรอยเหี่ยวย่น ช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว และช่วยกระตุ้นให้มีการเสริมสร้างเซลส์ใหม่ขึ้นแทน ป้องกันการเสื่อมโทรมของเซลส์จากขบวนการเติมออกซิเจน (Oxidation) ป้องกันแสง UV ตัวการก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง

สามารถนำไปใช้เช็คล้างเครื่องสำอางได้อย่างสะอาดหมดจด เหมาะทุกสภาพผิว

การใช้รับประทาน

การบริโภคน้ำมันมะพร้าวอย่างน้อยวันละ 2-3 ช้อนโต๊ะ จะช่วยให้ร่างกายเกิดความร้อนสูง เพิ่มการเผาพลาญอาหารและเกิดเป็นพลังงาน อีกทั้งยังช่วยทำลายไขมันที่สะสมอยู่ นำไปใช้เป็นพลังงาน ดังนั้นผู้บริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ จึงไม่อ้วนและถ้าอ้วนอยู่ก็จะผอมลง

น้ำมันมะพร้าวเมื่อเข้าไปในร่างกาย จะไม่ถูกเปลี่ยนเป็นคลอเรสเตอรอลในกระแสโลหิต และยังมีวิตามินอีที่ช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด

การรับประทานน้ำมันมะพร้าวเป็นการเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายไม่สะสมน้ำตาล ไม่อยากรับประทานอาหารที่เป็นแป้งหรือน้ำตาล

หมายเหตุ: ที่มาของข้อมูล โคโค่ โรม่า เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เกี่ยวกับ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธ์สกัดเย็น (Virgin Coconut Oil) ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะพร้าวที่มีคุณภาพของประเทศ โดยผลิตภัณฑ์ของโคโค่ โรม่า ได้คัดสรรมะพร้าวจากสวนมะพร้าวที่ได้รับ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (organic) คือไม่ใช่สารเคมีใดๆในการปลูก จึงมั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ของเรา สะอาด ปลอดภัย ได้รับมาตรฐานต่างๆ เช่น Organic , Food Safty จากกรมวิชาการเกษตร , มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มผช. สำหรับโภชนาและสำหรับสปา , มาตรฐาน อย.

เหตุผลหลักที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ของ Coco Roma

- เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับมาตรฐานอาหารและยา (อย.) เป็นผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ (Organic) โดยเลือกใช้วัตถุดิบที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีใดๆ ผ่านมาตรฐาน Food Safety

- เน้นความสะอาดและปลอดภัยในทุกขั้นตอนการผลิต

- เป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมพัฒนาศักยภาพภูมิปัญญาในท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าให้แก่วัตถุดิบในท้องถิ่น เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชน

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แนะนำหนังสือ ธรรมชาติบำบัด


ธรรมชาติบำบัด
ศิลปะการเยียวยาร่างกายและจิตใจเพื่อสมดุลของชีวิต
พิมพ์ครั้งที่ ๓ ฉบับปรับปรุงใหม่


ศรีสุดา ชมพันธ์, อธิษฐาน์ คงทรัพย์ และ เพียงพร
ลาภคล้อยมา : เรียบเรียง

พิมพ์ครั้งที่ ๖ขนาด ๑๖ หน้ายกพิเศษ ๑๖๐ หน้า
ราคาปก : ๑๖๐ บาท

ราคาพิเศษ
๑) ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ ลดราคาเหลือ เล่มละ ๙๐ บาท
๒) ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๖ ลด ๕ %

ธรรมชาติบำบัด เล่มนี้คือการรักษาเยียวยาสุขภาพทั้งใจ และกาย เป็นเสมือนเพื่อนที่สามารถนำพาไปได้ทุกที่ และเป็นได้ยิ่งกว่าคู่มือ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยสามารถที่จะศึกษาจากนี้และปรับใช้ได้เลยทันที ...


Oil Pulling (OP)--ออยพูลลิ่ง จากเวบไซด์ the-arokaya.com

Oil Pulling (OP)--ออยพูลลิ่ง พิมพ์ อีเมล์
oilpulling

ออยล์พูลลิ่ง (Oil Pulling) แปลโดย หมอแดง ดิ อโรคยา

Dr. F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่ประเทศ USSR ปี 2534-2535
การประชุมนั้นมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเนื้องอก และแบคทีเรีย
ซึ่ง Dr.Karach ได้อธิบายถึงการบำบัดรักษาโรค ที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ด้วยวิธีง่ายๆ โดยใช้ น้ำมันสกัดเย็น หรือ หีบเย็น (สกัดน้ำมันออกมาโดยใช้ความร้อนต่ำ หรือไม่ใช้ความร้อนเลย)

ผลลัพธ์ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ ทำให้ ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัย ในรายงานของเขาเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษาด้วยน้ำมันสกัดเย็น มีการทดสอบ ทดลองใช้ ทดลองทำพิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น ต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายโรค
ใน บางกรณี บางรายที่ไม่ต้องการรักษาโรคด้วยการผ่าตัดหรือการกินยา ก็ได้ใช้วิธีการนี้บำบัด ซึ่งก็เป็นผล อีกทั้งไม่เกิดผลข้างเคียงเหมือนการใช้ยาเคมี

กระบวนการ บำบัด และผลที่ได้รับที่น่าตื่นเต้นตามทฤษฎีนี้ กลับแสนง่าย โดยเริ่มต้นที่ใส่น้ำมันสกัดเย็นเข้าไปในปาก (น้ำมันทานตะวัน น้ำมันงา หรือน้ำมันสกัดเย็นอื่น ไม่จำเป็นต้องกลั่นโดยวิธีธรรมชาติเสมอไป น้ำมันทานตะวันที่ซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตก็พอใช้ได้แล้ว)


กระบวนการบำบัดจะบรรลุผลสำเร็จด้วยระบบบำบัดของผู้นั้นเอง ในกรณีนี้อาจจะไปบำบัดเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ ในเวลาเดียวกัน ร่างกายเองก็จะขับสารพิษออกทิ้งไม่ให้รบกวนระบบต่างๆ ของร่างกาย
Dr.Karach กล่าวว่า คนเราส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่แค่ครึ่งหนึ่งของชีวิตที่น่าจะเป็น ความจริงแล้วถ้าสุขภาพที่ดีจะมีอายุได้ถึง 140- 150 ปี


วิธีการทำ “Oil Pulling”
- เช้าตื่นนอนขึ้นมา ช่วงท้องว่าง ก่อนรับบประทานอาหารเช้า เอาน้ำมันประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่เข้าปาก อย่าได้กลืนลงคอไปนะครับ แล้วทำให้น้ำมันเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในปาก (Move Oil Slowly) กลั้วอยู่ในปาก ไม่ต้องทำแรงนัก Dr.Karach ใช้วิธีค่อยๆ จิบน้ำมันเข้าปาก ดูด และดึง น้ำมันให้ผ่านฟันไปมาให้ทั่วๆ ใช้เวลา 15 – 20 นาที
- ในขั้นตอนนี้ น้ำมันจะผสมกลมกลืนกับน้ำลาย แล้วทำให้มันเคลื่อนไหวกระตุ้นเอนไซม์ เพื่อให้เอนไซม์ดึงสารพิษออกมาจากกระแสเลือด จงอย่ากลืนน้ำมันนี้ลงคอไป เพราะมันมีพิษ พิษที่ดึงออกมานั่นแหละ
- เมื่อเราคลื่อนไหวน้ำมันอยู่ในปากสักพัก จะรู้สึกว่าน้ำมันนั้นเบาบางลงไม่หนืด ลักษณะคล้ายน้ำ สีขาว
- แต่ถ้าน้ำมันนั้นยังมีสีเหลือง(น้ำมันงา ทานตะวันจะสีเหลือง น้ำมันมะพร้าวจะใส) อยู่เหมือนเดิม แสดงว่าใส่น้ำมันมากไป หรือยังใช้เวลาไม่นานพอ
- ขั้นต่อไป ให้บ้วนน้ำมันที่อมอยู่ทิ้ง แล้วใช้น้ำสะอาดล้าง หรือจะให้ดี ก็ใช้นิ้วมือช่วยทำความสะอาดฟันและเหงือกด้วยก็ได้


ล้างทำความสะอาดอ่างล้างหน้าให้ดี
คุณ ควรล้างทำความสะอาดอ่างล้างหน้าให้ดี (ถ้าบ้วนน้ำมันที่อมลงในอ่าง) ใช้สบู่ น้ำยาฆ่าเชื้อล้างด้วยก็ดี เพราะน้ำมันที่บ้วนทิ้งลงไปนั้นจะมีแบคทีเรีย และสารพิษ Toxin ของเสียที่ดึงออกจากร่างกาย ถ้าลองใช้กล้องขยายขนาด 600 เท่าส่องดูก็จะพบว่ามีแบคทีเรีย และจุลินทรีย์ที่อยู่ในระยะฟักตัวเพื่อก่อโรคอยู่
สิ่งสำคัญต้องทำความเข้าใจว่าการทำ OP เป็นกระบวนการทำให้ระบบเมทาโบริซึมเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรง
สิ่งที่ทำให้เราเห็นชัดเจนก็คือจะทำให้ฟันของเราแน่นขึ้น ไม่โยกคลอน ทำให้เหงือกแข็งแรงสดใส ฟันก็จะขาวขึ้น
การทำ OP จะดีที่สุดก็คือตอนก่อนอาหารเช้า แต่ถ้าจะเร่งกระบวนการบำบัดให้เร็วขึ้น ก็ให้ทำ OP วันละ 3 เวลา ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น ตอนท้องว่าง

ข้อควรระวังคือ
1 อย่ากลืนน้ำมันที่ทำ OP ลงคอไป จะต้องบ้วนน้ำมันที่อมอยู่ออกทิ้งไป แต่ก็อย่าวิตกกังวลถ้าเกิดกลืน หรือ
มีน้ำมันไหลลงคอไปบ้าง ร่างกายก็จะขับออกมาทางอุจจาระเอง
2 ถ้าเกิดอาการแพ้ หรือไม่ถูกโรคกับน้ำมันที่ใช้อยู่ ก็ให้ลองเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ดู
3 น้ำมันทานตะวัน และน้ำมันงา นั้นใช้ได้ผลพอๆ กัน น้ำมันอื่นๆ ยังไม่พบว่าใช้มากนัก และควรใช้น้ำมัน
สกัดเย็น (แต่ก่อนนั้น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นยังไม่มีใช้ในอายุรเวท จะใช้น้ำมันงารักษาโรคเป็นส่วนใหญ่)

ประสบการณ์จากการบำบัดโดย Oil Pulling
จากผลการสำรวจโดยหนังสือพิมพ์ในประเทศอินเดีย
ในปี ค.ศ. 1996 ที่ Andhra Jyoti ได้เขียนเรื่องราวข้อมูลจากบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยวิธีการ Oil Pulling ในหนังสือพิมพ์รายวัน Telugu มา 3 ปี ก็ได้จัดการสำรวจดูว่าวิธีการดังกล่าวนี้รักษาโรคอะไรได้บ้าง แล้วผลการรักษาได้ผลดีมากน้อยประการใด จากผลสำรวจที่ได้ตอบรับกลับมา 1,041 ราย
จำนวน 927 ราย หรือ (89%) ได้รายงานผลการรักษามารายละโรค บางรายก็หลายโรค ส่วนอีก 114 ราย หรือ (11%) ราย ไม่ได้รายงานผลการรักษาว่าได้ผลแค่ไหน ตามผลการรายงานพอสรุปได้ดังนี้
อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย คอ ศรีษะ 758 ราย
อาการภูมิแพ้ ปัญหาที่ปอด หอบหืด หลอดลมอักเสบ 191 ราย
ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง สีผิวที่ผิดปกติ อาการคัน รอยแผลเป็น ปื้นสีดำๆ ผื่นคัน 171 ราย
ระบบย่อยอาหารที่ไม่ดี 155 ราย
อาการท้องผูก 110 ราย
โรคข้ออักเสบ ปวดตามข้อ 91 ราย
โรคหัวใจ โรค MS (อารมณ์แปรปรวน) 74 ราย
โรคเบาหวาน 56 ราย
โรคริดสีดวงทวาร 27 ราย
โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธ์ของสุภาพสตรี 21 ราย
อาการที่คล้ายโรคโปริโอ มะเร็ง โรคเรื้อน โรคเกี่ยวกับไต ปัสสาวะบ่อย โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
และอัมพาต การตายด้าน การหมุนเวียนเลือดไม่ดี 72 ราย

มีผู้ที่ได้เปิดเผยผลของโรคที่บำบัดด้วยวิธีการนี้หลายราย
จากหลักฐานที่ได้รับจากหลายๆ ท่านในการรักษาโรค มีทั้งหญิง ชาย อายุที่แตกต่างกัน บางรายถึงกับมอบสมุดที่จดบันทึกผลการรักษามาให้เลยทีเดียว ซึ่งพอจะยกตัวอย่างมาให้ได้อ่านกัน ดังนี้

โรคหอบหืด และภูมิแพ้ ที่เป็นมา 40 ปี
ปัจจุบัน ฉันมีอายุ 56 ปีแล้ว เคยทนทุกข์ทรมานกับโรคภูมิแพ้ และโรคหอบหืดมาตั้งแต่ฉันอายุ 11ปี เมื่อฉันเริ่มมีรอบเดือนครั้งแรกแล้ว หลังมีรอบเดือนแล้วสระผมเมื่อใด ก็จะทุกข์ทรมานจากอาการหอบหืด เจ็บคอ และถ้าไม่ใช่เวลามีรอบเดือน เมื่อฉันเอาน้ำลาดศรีษะเมื่อได ก็จะต้องเกิดอาการภูมิแพ้ขึ้นมาทุกครั้ง
ฉันพยายาม เสาะหาวิธีการรักษาโรคที่เป็นอยู่ทุกวิถีทาง 45 ปีแล้วที่ฉันรักษามาหลายวิธี แต่ก็ยังไม่พบว่าวิธีใดจะได้รับผลสำเร็จพอที่จะกำจัดโรคภัยไข้เจ็บออกไปจาก ตัวฉันได้
ฉันมีชีวิตอยู่กับยามาตลอด จนหลังสุด จากผลพวงจากการกินยา หมอบอกว่ามีปัญหากับหัวใจแล้ว
มันทำให้ฉันรู้สึกสิ้นหวังในชีวิตที่ต้องเผชิญปัญหาที่แสนสาหัสอย่างไร้ที่พึ่งพา
แต่ในช่วงนี้เอง วันที่ 3 มีนาคม 1994 ฉันจำได้ดี ได้พบกับคุณ T Koteswara rao ในงานเลี้ยงการแต่งงาน เขาได้บอกเล่า อธิบายถึง Oil pulling ให้ฉันฟัง และขอร้องให้ฉันทำตามที่เขาบอก
เป็นเวลา 2 เดือนที่ฉันใช้วิธีการดังกล่าว ปัญหาความเจ็บปวดของฉันกลับเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ฉันก็เข้าใจดีว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดี การเกิดภาวะวิกฤตในการเริ่มการบำบัดนั้น มันเป็นการต่อต้านของโรคภัยไข้เจ็บ ต้องมีการต่อสู้ มั่นใจว่าจะต้องเกิดผลดีขึ้นแน่ ฉันจึงทำต่อไปไม่เปลี่ยนใจ

ปัจจุบัน เป็นเวลา 9 เดือนแล้วที่ฉันปฏิบัติมา สุขภาพของฉันดีขึ้นได้อย่างมหัสจรรย์ โรคหอบหืดหายไป
ไม่มีอาการปวดเมื่อยร่างกาย หรือเจ็บปวดตามข้ออีก ไม่มีปื้นหรือจุดสีที่ผิดปกติต่างๆ บนผิวหนัง ๆ กลับสดใสขึ้น ระบบย่อยอาหารดีมาก ฉันสามารถรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอาการแพ้อาหารแต่อย่างไร มีความสุขกับการรับประทานอาหาร ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้โรคหอบหืด หรือโรคภูมิแพ้กำเริบขึ้นมา
ฉันอยากจะบอกเล่าให้เพื่อนหญิงทั้งหลายได้รับรู้ ให้เข้าใจ และลองใช้วิธี Oil pulling แล้วทุกท่านจะมีสุขภาพที่ดี คุณสามารถพิสูจน์ดูได้ด้วยตัวคุณเอง

โดย Ms.V.Lakshminarsamamba, Krishna DT, A.P

โรคภูมิแพ้ หอบหืด กับ ประสบการณ์ที่น่าชื่นใจ
วัน ที่ฉันได้รู้จักวิธีการ OP คือวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1995 มันเป็นเรื่องราวที่ฉันได้รับความเบิกบาน รู้สึกถึงความสดชื่นที่อยู่ในปากในคอ ก็เพราะ OP นี้ทำให้ฉันอดบุหรี่ได้เมื่อ วันที่ 28 มีนาคม 1995
ฉันสามารถทำงานได้โดยไม่ค่อยรู้สึกเหน็ดเหนื่อย มีสมาธิในการทำงานด้วยความขยันขันแข็ง อดทน
จมูกของฉันรู้สึกหายใจโล่ง สะอาด
อาหารที่กินเพื่อควบคุมอาการภูมิแพ้ และโรคหอบหืด ที่เริ่มกินมาตั้งแต่เดือนกันยายน 1975 ก็สิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 1995 เลิกใช้เครื่องช่วยหายใจสำหรับโรคหอบหืด
อาการชาที่แขน และขาก็หายไปเมื่อ เดือนเมษายน 1995
อาการที่มีความเจ็บปวดขา และเท้าเวลาเดินก็หายไป เมื่อ เดือนเมษายน 1995 เช่นกัน
รู้สึกถึงรสชาดของอาหารได้ดีขึ้น และกำลังวังชาก็ดีขึ้นด้วย
ฉันรู้สึกถึงความสดชื่นที่มีในปาก สุขภาพดีมาก นอนหลับได้อย่างมีความสุข

โดย Prof V.R.R.M. Babu, (57 years), Geology Dept, Andhra University, Waltair

ภูมิแพ้ หลอดลมอักเสบ และหายใจดังฟู่ๆ
เมื่อ สัก 3 เดือนที่ผ่านมา ผมและภรรยาได้ทำ Oil pulling อย่างสม่ำเสมอ เดิมผมมีปัญหากับอาการน้ำมูกไหลบ่อย เมื่อได้เริ่มใช้วิธีการดังกล่าวแล้ว อาการก็ลดน้อยลง มีอาการบ้างบางวัน ไม่ทุกข์ทรมานเหมือนแต่ก่อน
ผมเคยมีอาการเจ็ยคอ และมีเสมหะที่เหนียวข้น ยากที่กำจัดมันออกได้ เดี่ยวนี้ไม่มีแล้วจมูกโล่ง ไม่เจ็บคออีก
ส่วนภรรยาซึ่งเคยมีอาการภูมิแพ้ หลอดลมอักเสบ มีเสียงหายใจดังฟู่ๆ อาการก็ดีขึ้นหลังจากทำ OP มา

โดย Dr. P.V.R.D.N. Prasad Sarma, (practicing since), 1955 Machillpatnam, AP

โรคมะเร็ง
เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ที่ฉันอยากจะเขียนเล่าเรื่องมะเร็งนี้สัก 3 ราย
ใน 2 รายแรก ได้ตรวจสอบเนื้อเยื่อแล้วพบว่าเป็นมะเร็งแบบเนื้อกระด้างที่มดลูก
อีกรายเป็นมะเร็งขั้นรุนแรง เป็นก้อนเนื้อโตขนาดลูกเทนนิสที่ขากรรไกร และก็ได้รักษาโดยการแพทย์
โฮมิโอพาที เช่นเดียวกับ 2 รายแรกที่เป็นมะเร็งที่มดลูก และก็ได้ใช้วิธีการ OP มา 2 เดือนแล้วด้วย
ในรายของสุภาพสตรีที่เป็นมะเร็งที่มดลูกเลือดออกน้อยลง สภาพโดยทั่วไปดีขึ้น และเขามีความมั่นใจ เชื่อมั่นว่าเขาจะดีขึ้น
เราคงเข้าใจดีว่า ความเชื่อมัน ความไว้วางใจ ความศรัทธานั้น ช่วยในการบำบัดโรคได้ดีกว่ายา
ในกรณีรายที่เป็นมะเร็งที่ปากตรงกรามนั้น หลังจากเดือนหนึ่งที่ใช้ OP มีหนองไหลออกจากก้อนเนื้อ และ
ก็ไหลมาตลอด จน 3 เดือนผ่านไป หนองจึงหยุดไหล แผลปิด และก้อนเนื้อที่เคยใหญ่ขนาดลูกเทนนิสนั้นก็หายไปเกือบจะเป็นปกติแล้ว ในรายนี้ได้ใช้ยาช่วยด้วยตามอาการที่เกิดขึ้น และฉันก็หวังว่าอาการของเขาจะหายดีจากโรคที่เป็นอยู่
โรคอื่นๆ เช่นโรคปวดตามข้อนั้น ปกติถ้าใช้ยาอาการจะดีขึ้นนั้นต้องใช้เวลาประมาณ 8 เดือน แต่วิธี OP
กลับช่วยใหโรคหายได้ภายใน 2 เดือน
กรณี โรคภูมิแพ้ หอบหืด และโรคเกี่ยวกับฟัน ผลที่ได้รับจากวิธีการนี้ช่างน่าอัศจรรย์ นอกจากยาที่รักษาตามอาการที่เป็นแล้ว ก้ได้ให้ใช้วิธีการ OP ด้วย ฉันหวังว่า OP จะช่วยให้เขาเหล่านั้นหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้

โดย Dr.S.Chandramouli, Homeopath, Gollalamamidalam, E.G. Dt., A. P

อาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร “ใช้วิธี OP ได้ผลดีมาก”
ฉัน ใช้วิธีการ OP ตลอดมาปีหนึ่งแล้วโดยทำทุกวัน ๆ ละ 15 ถึง 20 นาที ในตอนเช้า ด้วยน้ำมันงาสีเหลืองนิดๆ ฉันอายุ 82 ปีแล้ว เคยมีปัญหากับอาการท้องผูก และริดสีดวงทวาร หาหมอรักษามาหลายหมอแล้ว กินยาใช้ยามาก็มาก ก็แค่บรรเทาชั่วคราว
ฉันได้ฝึกทำ OP เพียง 2 สัปดาห์ อาการที่เป็นกลับรู้สึกบรรเทาลง ไม่ค่อยเจ็บปวดเวลาเคลื่อนไหว
การอักเสบของริดสีดวงบรรเทาลงไป อาการถ่าย เอาของเสียออกเป็นไปด้วยดีขึ้น นอนหลับได้อย่างมีความสุขตลอดคืน อาการอาหารไม่ย่อยและไม่อยากอาหารหายไป หลักการแพทย์อายุรเวทได้ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกโรค เป็นสิ่งที่ดีมากที่จะมาเริ่มทำ OP เพื่อสุขภาพที่ดี

โดย Padma Bhusan Sri Narayana Rao, People’Poet, Tirupathi, A.P

โรคเบาหวาน การตั้งครรภ์ การคลอดบุตร
ฉัน อายุ 41 ปีแล้ว เป็นโรคเบาหวาน ไม่มีบุตร หลังจากได้ฝึกปฏิบัติ OP ได้ 3 เดือน ฉันตั้งท้อง ในช่วงตั้งท้องนั้น ปรากฏว่าระดับน้ำตาลสูงขึ้น ฉันจึงได้หยุด OP ไปเดือนหนึ่ง โดยคิดว่าที่ทำให้น้ำตาลสูงขึ้นนี้ เป็นเพราะการทำ OP เพิ่งมาเข้าใจทีหลังว่า นั่นคือสัญญาณแห่งการบำบัดที่ดี ฉันจึงเริ่มปฎิบัติใหม่อีกครั้ง
ระดับน้ำตาลของฉันค่อยๆ ลดลง ฉันจึงปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ตั้งครรภ์อยู่ตลอดมา จนกระทั่งคลอดบุตรโดยการผ่าออก หมอได้ตรวจวัดค่าน้ำตาลในเลือดทั้งฉันและลูก ปรากฎว่าเราสองคนแม่ลูกน้ำตาลไม่สูง
บาดแผลรอยผ่าแห้ง รอยเย็บหายดี สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 7 วัน ตัวหมอที่รักษาเองยังแปลกใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร นอกจากนั้นผลของการปฏิบัติ OP ยังมีผลดีกับฉันอีกหลายเรื่อง
น้ำหนักของฉัน 90 กิโลกรัม สูง 4 ฟุต 11 นิ้ว เท้าของฉันบิดๆ เวลาเดิน เท้าของฉันเคยติดเชื้อ
มีหนองไหลออกมาด้วย จากการได้ฝึกปฏิบัติ OP และได้เดินทุกวัน เท้ากลับมาแข็งแรง ก้าวเดินเหิรได้โดยไม่ยากเย็นเหมือนแต่ก่อน
น้ำตาลในเลือดของฉันค่อยๆ ลดอย่างค่อยๆเป็นค่อยไปจนอาการเบาหวานหายไป ผิวหนังสะอาดสดใส รอยจุดด่างดำที่เคยปรากฏตามผิวหนังก็หายไป
ร่างกายรู้สึกแข็งแรง ฟันแข็งแรง สุขภาพเหงือกดี ผมที่เคยทีมีสีขาวและเทาก็กลับกลายเป็นสีดำ

โดย Mrs. AVL Umamaheswari, Commercial Tax Dept, Eluru, A.P.

โรคเบาหวาน
อายุ ฉันล่วงเข้ามาถึง 74 ปีแล้ว ไม่มีความคาดหวังว่าวิธีการรักษาโรคแบบใดจะมาสร้างปฏิหารย์มารักษาโรคของฉัน ให้หายไปได้แน่ ฉันแน่ใจ และก็พูดเช่นนี้เสมอมา
แต่เมื่อฉันได้ฝึกปฏิบัติ OP อย่างต่อเนื่องมา มันกลับเกิดปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์ แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น
โรคเบาหวานที่สร้งปัญหาให้ฉันมา 13 ปีแล้วนั้น ปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดของฉันกลับมาเป็นปกติ โดยไม่ได้กินยาอื่นเลย ไม่ได้ใช้ยาเคมี นอกจากวิตามินและเอ็นไซม์

โดย (Swami Swarupanand Bharati, (K.R.K.IPS, D.I.G. (Retd)), Hyderabad

โรคหัวใจ
จาก รายงานของอดีตนายพลจัตวากองทัพบก ที่เกษียณอายุแล้ว ที่แจ้งว่ามีปัญหากับโรคหัวใจ (Heart Attack) ตั้งแต่ กุมภาพันธ์ ปี 1987 ต้องรักษา กินยามาตลอด 11 ปี และเริ่มมีอาการพาร์กินสันได้ 5 ปี ก็ได้แต่กินยารักษาอีกเช่นกัน ผมได้ฝึกปฏิบัติ OP อย่างจริงจังต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1998 เป็นเวลา 5 เดือนแล้วที่ได้ปฏิบัติมาตลอดทุกวันตอนเช้า ผลที่ได้ก็คือ ความดันเลือด ลดลงอย่างชัดเจน ปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ปกติ 130/80อาการเหนื่อยอ่อน ใจจะขาด ไม่ปรากฏขึ้นอีก ออกกำลังได้มากขึ้นไม่ค่อยเหนื่อย
การนอนหลับ นอนหลับได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องลุกขึ้นเข้าห้องน้ำบ่อยๆ

การนอนกรน หายไปมากเลย นี่จากผลการลงมติของสมาชิกในครอบครัว

เสมหะ ซึ่งเรื่องนี้เคยสร้างปัญหาให้กับผมมากก่อนนี้ เดี๋ยวนี้หายไปแล้ว
เหงือก ดูสภาพดีมาก มีสีแดง ไม่มีเลือดออกอีกนานแล้ว ฟัน สะอาด และดูสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี
อาการคัน หายไปแล้วเลือดที่จับตัวเป็นก้อนตรงตาตุ่ม หายไป 90-95% ผิวหนังที่เคยดำตรงบริเวณดังกล่าวก็ดีขึ้นแสดงว่าการไหลเวียนเลือดดีขึ้นเส้นเลือด ที่เคยโป่งพองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณหลังมือ ตอนนี้หลังมือเรียบ นุ่มเนียนภาวะอารมณ์ จิตใจ มีความอดทน อดกลั้นได้ดี 90% อาการสั่นที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ดีขึ้น 40% มือและเท้าที่ใช้งานได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะมือและเท้าข้างขวา ตอนนี้ก็ดีขึ้น เขียนหนังสือได้ดีขึ้น 60-70%อาการบวมที่เท้า และข้อเท้า บวมน้อยลง 50-60% สายตา ซึ่งเคยใช้แว่นมากว่า 25 ปี ก็สร้างความประหลาดใจที่สามารถเล่นไพ่บริดจ์ได้โดยปราศจากแว่นตา อาการหน้ามืดวิงเวียน เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่มีอาการปกติ ถ้ามีอาการความดันเลือดสูงขึ้นมาบ้างก็จะควบคุมโดยการออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร
ความจำ พิสูจน์ได้ว่าดีขึ้นมาก อาการทั่วๆ ไป การหายใจทำได้ดี การหมุนเวียนเลือดดี ปฏิกิริยาตอบสนองเป็นไปด้วยดี ออกกำลังกายได้นานขึ้น ทนความหนาวเย็นๆ ได้ดี เดินได้โดยไม่ค่อยเหนื่อย
ยาที่เคยกิน ค่อยๆ ลดยาเคมีลง ยานอนหลับไม่ต้องใช้อีกต่อไป ยารักษาพากินสันไม่ปรารถนาต้องใช้มันอีกแล้วระบบย่อยอาหารดีเยี่ยม เขียนหนังสือได้เร็วขึ้น สามารถโพกผ้าบนศรีษะด้วยมือขวาได้ดีขึ้น ผิวหนังก็ดูสดใสขึ้น
โดย Brig (Retd) T.S.Chordary, (63 year), Janakapuri, New Delhi

จากรายงานของศัลยแพทย์ที่เกษียณอายุแล้ว อาการขัดข้องที่หัวใจข้างซ้าย
ผม เคยมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจด้านซ้าย หลังจากที่ได้เริ่มฝึกทำ OP ได้เพียง 15 วัน กลับพบว่าอาการมันดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีหลักฐานจากการตรวจคลื่นเสียงดูภายในหัวใจและการทำงานของหัวใจแล้ว
และที่เคยทุกข์ทรมานจากแผลในลำไส้เล็กตอนต้น รักษามาตลอด 30 ปี ก็เป็นที่น่าพิศวง มันหายไปได้โดยไม่ต้องกินยาลดกรดอีกแล้ว
ผมมีอาการเริ่มๆ มีต่อมลูกหมากโตชนิดที่ยังไม่อันตราย หลังจากที่ได้ทำ OP แล้ว อาการที่ต้องลุกขึ้นปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ ก็น้อยลง
อาการมีแผลร้อนในในปาก ลิ้นอักเสบ อาการคันที่ผิวหนังตรงบริเวณหน้าอก และคอ สีผิวที่ไม่ค่อยดี ก็หายไปหมด
หลังจากอมน้ำมัน (OP) พบว่าฝ่ามือสดใสมีสีเลือด ผมจึงไปให้เขาตรวจเลือดดู ก็ต้องแปลกใจที่พบว่า
ฮีโมโกลบินมีค่าสูงขึ้นจาก 11 gms to 12.4 gms ภายใน 2 เดือน

โดย Dr. N.Ranga Rao, Dy. Civil Surgeon (Retd.), Peddapuram, A.P

ลมหายใจไม่สะอาด กลิ่นปาก
ฉันมีปัญหากับอาการที่มีกลิ่นปาก และมีหนองไหลออกมาจากในปาก เป็นมา 8 ปีแล้ว
เมื่อมีกลิ่นปาก ก็ได้ไปหาหมอฟันได้ยามากิน ยาทำความสะอาดฟัน เมื่อกินยาและเครื่องไม้เครื่องมือมาทำความสะอาดฟันมันก็เพียงทำให้กลิ่นปาก หายไปชั่วครั้งชั่วคราว
หลังจากที่ได้ทำ OP (อมน้ำมัน) ได้ 5 เดือน กลิ่นปากที่ไม่สะอาดก็หายไป
หนองก็ไม่ค่อยมีไหลแล้ว รู้สึกมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ไม่มีปัญหาเหมือนแต่ก่อน
วิธีการ OP ได้ดึงความเชื่อมั่นของฉันที่สูญเสียไปกลับคืนมา จากความกรุณาปราณีอันนี้ ทำให้ฉันได้สูดหายใจได้อย่างมีความสุข ดังกับว่าได้ให้ชีวิตใหม่แก่ฉันเลยทีเดียว

โดย G.B.Rao, Rajamundry, A.P

ฉันเป็นคนหนึ่งที่ทรมานกับการร้อนใน และมีแผลในปากมา 12-15 ปีแล้ว
หลัง จากได้อ่านบทความที่พิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Kannada Prabha เรื่อง “Oil pulling” ฉันได้เริ่มฝึกปฎิบัติวันละ 2 ครั้ง เช้า และเย็น ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 1995 ควบคู่ไปกับการกินยา ช่วง 2-3 เดือนแรกอาการดีขึ้นสัก 25% เห็นจะได้ แต่พอได้สัก 4-5 เดือนอาการดีขึ้นมากเลย และที่เห็นได้ดีที่สุดเมื่อได้ 6 เดือน ดีขึ้น 100% เลย ฉันก็ได้ชลอการใช้ยาลง และพอได้ 7 เดือน ฉันก็เลิกกินยาเคมี อาการที่เคยเป็นแผลในปากหายไปตั้งแต่ 2-3 เดือนแรกแล้ว
เดี๋ยวนี้ฉันมีควมสุข โรคหายไปแล้ว 100% โรคแผลในปากที่เคยอยู่กับฉันมาแสนนานได้หายไปแล้วด้วย “Oil pulling”

โดย Salamander Shiny, Manipal

โรคกล้ามเนื้อที่ใบหน้าอ่อนกำลัง (Myasthenia Gravis (MG))
ในปี 1980 ฉันอายุ 36 ปี เกิดอาการเห็นภาพซ้อน และหนังตาข้างขวาตก หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรค MG
ในปี 1993 ฉันได้เริ่มฝึก OP และได้ใช้ยาร่วมกันไปด้วยในเดือนแรกๆ หลังจากนั้นก็หยุดยาได้แต่ทำ OP ต่อไป ไม่ช้าอาการกล้ามเนื้อที่หน้าอ่อนแรงก็หายดี เมื่อฉันได้หยุดปฏิบัติ OP ได้เดือนหนึ่ง อาการดังกล่าวก็กลับมาอีก ฉันจึงได้ทำ OP ต่อไปอีก และทำ OP อย่างเดียวโดยไม่กินยาอีกเลย

โดย T.Brahmaji Rao, Pedavadlapudu, Guntur Dt. A.P


อาการปวดหลัง ปวดคอ

ฉัน มีอาการปวดหลังมานานเกือบ 10 ปีแล้ว ก็ได้หาหมอรักษามาหลายหมอ ซึ่งแต่ละท่านก็ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการรักษา แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่มีวันไหนที่ฉันจะเข้านอนได้โดยไม่ต้องกินยา บรูเฟน โวทาเรน หรือยาอื่นๆ
หลังจากที่ได้อ่านบทความเกี่ยวกับการทำ OP ที่เขียนโดย Tummala Koteswara Rao
ฉันได้เริ่มฝึกปฏิบัติ OP โดยใช้น้ำมันทานตะวัน อาการก็ค่อยๆ เห็นผลภายใน 15 วัน และอาการดังกล่าวดีขึ้นมากใน 3 เดือน ตอนนี้ 6 เดือนแล้ว อาการปวดหายไปราว 90% ซึ่งยังเหลืออาการปวดหลังอยู่บ้าง
อาการที่เคยปวดที่คอและที่ปวดแขนในบางครั้งก็หายไป
อาการปวดหลังที่บอกว่ายังเหลืออีกนิดหน่อยนั้น ฉันก็ไม่ยอมกินยาแก้ปวดอีกแล้ว แต่ไม่ยอมหยุด OP เพราะพบว่ามันเป็นผลดีต่อฉันมาก และปลอดภัยกว่าการกินยา
ฉันได้เริ่มออกบรรยาย “สุขภาพดีได้ด้วย OP” ตามโรงเรียน สมาคม ที่ Telugu ให้พวกเขารู้จักวิธีการทำ OP

โดย Dr.V.Prabhakar (48 years) MDS (Madras), Guntakal A.P

อาการปวดหลัง และปวดตามข้อ
ฉัน มีอาการเจ็บปวดข้อเข่ามาช้านานกว่า 10 ปีแล้ว และมีอาการปวดหลังช่วงล่างมานานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว ฉันได้พยายามรักษาโดยใช้ยามาหลายชนิด มันก็หายชั่วครู่ชั่วยาม
ฉันเริ่มฝึกทำ OP เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1995 เพียง 5 วันที่ฉันได้ปฏิบัติมา สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น อาการปวดข้อเข่า และโรคปวดหลังช่วงล่างของฉันหายไป
มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อว่า อาการปวดข้อเข่าของฉันมันหายไปได้อย่างไร
ก็ยาที่กินมาตั้งมากมาย และนานแสนนานยังรักษาไม่ได้ ผลที่ได้กลับแย่ลงอีกต่างหาก

โดย Sudedar Juvva Gandhi, Sub-area HQ, Karnataka, Bangalore

อาการปวดเข่า และข้อเท้า
ฉัน ได้อ่านบทความและรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการรักษาโรคด้วยวิธีการทำ OP จาก “Andhra Jyoti” จนเกิดความมั่นใจและเชื่อถือแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ลองฝึกทำเสียที
จนกระทั่งน้องชายของฉันหายจากโรคหอบหืด และได้แนะนำให้ฉันได้ฝึกปฏิบัติดูบ้าง
ปกติฉันเองจะเปิดพัดลม หรือนอนในที่มีลมแรงๆ ไม่ได้ ทำให้หายใจไม่ออก จมูกจะตัน อาบน้ำเย็นยิ่งไม่ได้เลย
หลังจากได้ฝึกปฏิบัติ OP แล้ว ฉันสามารถนอนหลับสบายใต้พัดลมที่เปิดเต็มสปีด ไม่รู้สึกอึดอัด
ในบางครั้งที่เคยมีอาการหอบหืด หรืออาการที่หลอดอาหารบ้างก็หายไป
อาการที่เคยปวดเข่าซ้าย และปวดข้อเท้าขวามา 3-4 ก็ไม่มีอาการอีก
อาการที่มีรอยแตกที่กระโหลกศรีษะตั้งแต่ฉันอายุ 5 ขวบก็ไม่มีแล้ว
ริดสีดวงทวารที่เป็นมา 20 ปี ปรากฏว่ามันหายไป มันช่างน่าเป็นเรื่องปาฎิหารย์จริงๆ

โดย Prof.T.Venugopal Rao, Principal, Vishaka of Professional Studies, J.R. Nagar, Vishakapatnam, A.P

โรคผิวหนัง ผื่นคันอักเสบพุพอง ก็บำบัดได้
ฉันอายุ 79 ปี เกษียณจากครูแล้ว มีความปรารถนาที่จะมีสุขภาพดี จึงได้ฝึกปฏิบัติ OP มาตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 1995
อาการที่มีคือ ผื่นคัน พุพอง(Eczema) มากว่า 30 ปีที่เท้าซ้าย ที่ได้ใช้วิธีการรักษามาหลายวีธี และก็เช่นเดียวกันกับที่นิ้วชี้มือขวาก็มีอาการมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว และมีอาการปวดหลังช่วงล่างมาเป็นปี หมอบอกว่ากระดูกสันหลังอักเสบ (Spondylitis)
ฉันได้ฝึกปฏิบัติ OP ได้ 1 ปี กับอีก 8 เดือน อาการปวดหลังช่วงล่างก็หายไป
อาการที่เป็นผื่นคันพุพอง (Eczema) ที่นิ้วชี้มือขวาก็หายไป อาการที่ผิวหนังหายเป็นปกติ
อาการผื่นคันพุพองที่เท้าซ้ายเกือบจะปกติแล้ว มีอาการคันบ้างในบางครั้ง
ฉันรู้สึกมีความมั่นใจมากและจะปฏิบัติต่อไป มันเป็นวิธีการบำบัดที่แสนง่าย แต่เห็นผลน่าแปลกใจ
และฉันก็มั่นใจว่าอาการผื่นคันพุพองที่เท้าซ้ายจะหายไปในไม่ช้าแน่นอน

โดย C.V.Purnachandra Rao, Chennal, T.N

อาการปวดฟัน ฟันโยกคลอน
ฉันเป็นข้าราชการที่เกษียณแล้ว ตอนนี้อายุ 86 ปี มีอาการปวดฟันหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นอาการปวดรวดร้าวแสนทรมาน
ก็ได้ฝึกทำ OP บ้าง แต่ยังมีความสงสัย เคลือบแคลงใจ ไม่แน่ใจ จึงได้ไปหาหมอฟันด้วย
เมื่อมันปวดหนักขึ้น ฉันก็ลองทำเป็น 2 ครั้งต่อวัน ปรากฏว่าความปวดน้อยลง อีก 2 วันก็หายปวด
อาการปวดนี้เกิดกับฟันซี่หน้า ที่ใช้สำหรับกัด ตรงฐานรากของฟันดูจะโยกคลอน ไม่แน่น
เมื่ออาการปวดฟันหายไป ฉันจึงมีความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพ และอาการโยกคลอนก็หายไปภายใน 2 สัปดาห์เท่านั้น
มีความรู้สึกว่าตอนนี้ฟันดีมาก ฉันสามารถกัดผลไม้และอาหารที่ไม่แข็งมากนักได้ นี่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับฉัน
และฉันต้องขอขอบคุณ แนวทางการรักษาโรคด้วยวิธี Oil Pulling จริงๆ

โดย G.R.Bhagavannarayana,(Retd,Govt service), 86 years, Rajamundry,533 105 AP.


คำถามที่ถูกถามบ่อย เกี่ยวกับ Oil pulling

ควรจะทำ OP เวลาไหนถึงจะดี?
แพทย์ทางอายุรเวท แนะนำว่าควรจะทำในช่วงเช้า หลังจากแปรงฟัน และท้องว่างอยู่
Dr Karach แนะนำให้ทำช่วงเช้า ตอนท้องว่าง จะให้ดีควรเป็นหลัง 1 ชั่วโมง หลังจากดื่มน้ำเปล่า ชา กาแฟ หรือน้ำใดๆ ในช่วงเช้า แต่ขอให้ทำก่อนอาหารมื้อเช้า หรือ ตอนท้องว่าง ขณะที่รู้สึกไม่ค่อยสบาย สุขภาพร่างกายมีปัญหา ก็ทำได้

ใครบ้างที่ทำได้ ?
ใครๆ ก็ทำได้ อายุ 5 ขวบขึ้นไปก็ฝึกทำได้ สำหรับอายุ 5 ขวบหรือเกินกว่าไม่มาก ให้ใช้น้ำมันเพียง 1 ช้อนชา (5 cc.) ก็พอ ผู้ที่ถอนฟันแล้ว สตรีที่ตั้งครรภ์อยู่ ก็ทำได้

แล้วจะดื่มน้ำหรือทานอาหารได้หลังจาก OP นานเท่าไร?
หลังจากทำ OP แล้วล้างปาก แล้วก็สามารถดื่มน้ำหรือทานอาหารได้เลย ไม่ต้องทิ้งช่วงเวลา

น้ำมันอะไรบ้างที่นำมาใช้ OP ได้?
Dr Karach แนะนำให้ใช้น้ำมันทานตะวัน ส่วนการแพทย์อายุรเวทแต่โบราณ ใช้น้ำมันงาเป็นหลัก ซึ่งน้ำมันทั้งสองชนิดก็ทำงานได้ดีในการช่วยบำบัดสุขภาพ บางท่านว่าน้ำมันงาใช้ได้ดีที่สุด ส่วนน้ำมันอื่นๆ ก็ใช้ได้แล้วแต่ความชอบ ของแต่ละคน เพียงแต่ยังไม่มีรายงานผลการใช้น้ำมันชนิดอื่นๆ มาให้ทราบมากนัก น้ำมันอื่นๆ อาจจะใช้ได้ดีในการนำมาใช้ก็ได้ แต่ยังไม่ได้รับความนิยมที่จะใช้กัน

(หมอแดง แนะนำให้ใช้ น้ำมันมะพร้าว ในการทำ Oil Pulling ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่มีน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นใช้กันมากนัก และก็กลัวไขมันอิ่มตัวน้ำมันมะพร้าวกันมาก แต่ปัจจุบันนี้ความเชื่อนั้นเปลี่ยนไป)


น้ำมันที่ใช้เพียง 10 cc. มันดูน้อยจัง ใช้ 20 cc. จะได้ไหม?
เมื่อ เราทำ OP น้ำมันที่อมในปากนั้นจะต้องรู้สึกบางเบา จางลง มีความรู้สึกคล้ายน้ำ ไม่ใช่ยังรู้สึกว่ายังอมน้ำมันอยู่ ควรจะรู้สึกคล้ายน้ำ เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้จึงจะเป็นผลดี และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ความมุ่งหมายในการทำ โดยทั่วไปความรู้สึกอย่างนี้จะเกิดขึ้นหลังจากอมไว้ 15-20 นาที แต่ถ้าใช้น้ำมันมากเกินไปมาอม ก็จะต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าที่น้ำมันจะกลายเป็นน้ำสีขาวๆ เราก็คงไม่มีเวลาที่จะมาอมน้ำมันอยู่นานๆ กันแน่
ถ้าหากบ้วนทิ้งออกมาแล้วยังรู้สึกว่ายังคงเป็นน้ำมันอยู่ ก็เป็นเรื่องเสียเปล่า ไม่ค่อยได้ประโยชน์นัก จะไม่ค่อยรู้สึกสดชื่น ไม่ได้ผลสำเร็จตามที่ปรารถนา ถ้าจะใช้มากสักนิดหน่อยก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ ไม่เสียหายมากมาย เพียงแต่ใช้เวลานานเสียหน่อย และสำหรับเด็กเราก็ใช้แค่ 5 cc.ก็พอ

ขณะที่ทำ OP อยู่นั้น จะทำอย่างอื่นพร้อมไปด้วยได้หรือไม่?
ไม่ ควร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ควรทำ OP อย่างช้าๆ นั่งในท่าสบายๆ เชยคางขึ้น นึกถึงน้ำมันที่แทรกเข้าไปตามซอกฟัน เข้าไปสัมผัสกับทุกๆ ส่วนของเยื่อบุผนังในช่องปาก ผ่อนคลายอารมณ์และร่างกาย

สำหรับโรคที่เจ็บปวดรุนแรงจนจะต้องผ่าตัด หรือโรคเรื้อรัง จะมีการทำ OP อย่างไร?
โรคที่มีอาการปวดอย่างมากจนถึงขนาดจะต้องผ่าตัดนั้น วิธีการนี้จะช่วยบำบัดได้ภายใน 4 วัน โดยปฏิบัติวันละ 3 ครั้ง
ตอนช่วงท้องว่าง ก่อนอาหารเช้า กลางวัน และเย็น
ส่วนในโรคที่มีอาการเรื้อรังมานานนั้น อาจต้องใช้เวลาเป็นปี หรือมากกว่า แล้วแต่อาการและความหนักหนาของโรคที่เป็นอยู่นั้น เป็นมานานมากแค่ไหนแล้ว อายุของผู้ป่วย อุปนิสัย พฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยก็เป็นปัจจัยสำคัญ

จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้างในการทำ OP?
น้ำมันที่อมยังคงสภาพเป็นน้ำมันอยู่ ไม่มีลักษณะคล้ายน้ำ หรือรู้สึกบางเบา หลังจาก 30 นาที แล้วกับรู้สึก
ถูกดูดซึม และเหลือปริมาณน้อยลง
เหตุที่น้ำมันไม่แปรสภาพไปคล้ายน้ำ ก็เพราะว่ามีน้ำลายน้อย หรือการผลิตน้ำลายออกมาน้อย ในช่องปากแห้ง เป็นมากในกรณีนี้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในตอนเช้า หรือไม่ก็ตอนเย็น
ในสภาวะปกติทั่วไป น้ำมันจะไม่ถูกดูดซึมในปาก สาเหตุนั้นมาจากน้ำลายมีน้อย หรือร่างกายขาดน้ำ ขาดสารเหลว ในกรณีนี้ให้ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว แล้วออกเดินสัก 30 – 45 นาที แล้วกลับมาทำ OP
รู้สึกในจมูกถูกปิดกั้น เกิดการสะสมของน้ำมูก ทำให้หายใจไม่ค่อยดีขณะมีน้ำมันอยู่ในปาก
กรณีนี้ให้ล้าง ทำความจมูกให้ดี สั่งน้ำมูกออกให้รู้สึกโล่งจมูกก่อน แล้วจึงทำ OP
ขณะที่อมน้ำมันอยู่ในปาก เมื่อมีน้ำมูกให้ใช้วิธีหายใจแรงหลายๆครั้ง เพื่อให้มีแรงลมดันออกมาทางจมูก
อยากจะจาม หรือไอขณะที่อมน้ำมันอยู่
รู้สึกระคายคอ คันคอทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญ อยากจะจามหรือไอขณะที่กำลังอมน้ำมันอยู่ในปาก ให้ค่อยๆ ทำ และให้ผ่อนคลาย ไม่ต้องคิดถึงน้ำมันที่อยู่ในปาก ถ้าจะจามหรือไอ ให้ทำตรงอ่างหรืออะไรรองรับ เพื่อไม่ให้มีการพ่นเป็นสเปร์ยออกมา หรือไม่ก็หากระดาษทิชชูมาปิดปากป้องกันไว้
เสมหะ เสลดในลำคอไหลเข้ามาที่ในปาก ขณะที่อมน้ำมันอยู่
ถ้ามีเสมหะเกิดขึ้นมาเต็มปากเต็มคอ ทำให้ทำ OP ไม่สะดวก ก็ให้บ้วนทั้งน้ำมันและเสมหะออกทิ้งไป และอมน้ำมันใหม่อีกครั้ง กระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ ขณะทำ OP
เมื่อมีกระตุ้นให้เกิดปัสสาวะและถ่ายอุจจาระขณะที่ทำ OP ก็ให้ไปปัสสาวะ อุจจาระได้ระหว่างทำ OP อมน้ำมันไปด้วยให้สบายใจ ไม่ต้องเครียด

จะใช้เวลาสักเท่าไรในการที่จะรักษาโรค?
ระยะ เวลาที่จะใช้ในการดูแลรักษาโรคแต่ละโรคนั้น เป็นการยากที่จะกะเกณฑ์ ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย สภาพร่างกายของผู้ป่วยว่าทรุดโทรมขนาดไหน และโรคที่เป็นอยู่หนักหนาขนาดไหน อาหาร อัปนิสัยและพฤติกรรมของตัวผู้ป่วยแต่ละคน
Dr Karach กล่าวว่า “โรคที่เจ็บป่วยเรื้อรังมานานอาจใช้เวลาปีหนึ่ง ขณะที่โรคที่มีอาการปวดจนถึงขนาดจะต้องผ่าตัด อาจใช้เวลาแค่ 2 – 4 วัน ให้ฝึกทำจนกว่าจะรู้สึกแข็งแรงดังเดิม มีความสดชื่น หลับได้ดี รู้สึกเจริญอาหาร ความจำที่ดีกลับคืนมาเหมือนเดิมอีกครั้ง”

แล้วการทำ OP ช่วยบำบัดรักษาโรคได้อย่างไร?
การ รักษาโดยวิธี OP เกิดขึ้นเหมือนกับการรักษาโรคโดยทั่วไป เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ (ซึ่งเป็นบทหนึ่งที่ผมได้เขียนไว้ว่า “OP ช่วยบำบัดรักษาโรคได้อย่างไร” อยู่ในหนังสือชื่อ “Oil Pulling”) ซึ่งผมจะอธิบายตามหลักทฤษฎีว่าทำไม OP ถึงช่วยบำบัดรักษาโรคได้
Dr (med.) Karach ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ กล่าวว่า “ตามหลักการน้ำมันได้ช่วยรักษาฟันได้ดีอยู่แล้วตามที่ทราบกันดี จะเห็นผลได้ชัดเจนว่าน้ำมันทำให้ฟันมั่นคง แข็งแรง ช่วยรักษาฟันที่โยกคลอน รักษาอาการเลือดออกที่เหงือก และทำให้ฟันขาว”
Oil Pulling ในด้านการแพทย์อายุรเวท เรียกว่า “KAVALA GRAHAM” ในหัวข้อของ Charaka Samhita sutra ได้เขียนไว้ว่า
“การอมน้ำมัน หรือ OP ด้วยน้ำมันงาจช่วยรักษาฟันที่เป็นรู เป็นแมงกินฟัน ช่วยรักษารากฟันให้แข็งแรง รักษาโรคฟัน อาการเสียวฟันที่เวลากินของเปรี้ยว จะช่วยรักษาฟันที่ผุ ทำให้ฟันแข็งแรงสามารถที่จะขบเคี้ยวของแข็งๆ ได้ดีขึ้น”

ใน ทำนองเดียวกัน OP ก็จะช่วยบำบัดอาการปวดศรีษะ ไมเกรน การจาม อาการเย็น อาการปวดในเวลาไม่กี่วัน และจะทำวันละครั้งหรือหลายครั้งก็ได้

อาการเมาค้าง สามารถบำบัดได้โดยเพียงทำ OP 2- 3 ครั้งในช่วงเช้า สิ่งที่ปฏิบัติเหล่านี้จะเป็นการศึกษา และเป็นประสบการณ์ ถ้าฝึกทำบ่อยๆ ก็จะเกิดความชำนาญในการปฏิบัติ และก็สามารถประเมินผลที่ได้จากประสบการณ์ที่เราได้ทำ ได้เจอด้วยตัวของตัวเอง

วิธีการบำบัดโดย OP ก็จะคล้ายๆ กันในแต่ละโรค จะมีแตกต่างกันบ้างก็ในเรื่องของระยะเวลาที่ใช้ในการบำบัดในแต่ละคน

จะมีผลข้างเคียง หรือจะเป็นอะไรบ้างไหมถ้าจะใช้ยาไปพร้อมๆ กันไปด้วย ?
โดย ปกติทั่วไปจะไม่มีผลข้างเคียง การบำบัดรักษาจะเป็นไปอย่างนิ่มนวล อ่อนโยน ในบางกรณีบางโรค อาจจะมีอาการมากขึ้นมาบ้างนิดหน่อย ก็อย่าไปวิตกกังวล เพราะอาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสัญญาณที่ดี
บอกให้เราได้รู้ว่าโรคที่เป็นอยู่นั้นกำลังได้รับการบำบัดอยู่ ให้อดทนหน่อย แต่ถ้าในกรณีที่มีอาการมากขึ้นจนทนไม่ได้ ก็ให้หยุดทำ OP ไปสัก 2-3 วัน หรือจะกินยาเพื่อช่วยระงับอาการและทำ OP ไปด้วยก็ได้
ในกรณีที่ต้องกินยา หรือยังไม่อยากจะหยุดยาทีเดียวเลย ก็ให้กินยาไปด้วยพร้อมๆ กัน แล้วค่อยๆ ลดจำนวนยาลงทีละน้อย แบบค่อยเป็นค่อยไป จนมีความแน่ใจว่าได้ผลดีแล้ว จึงหยุดยาทั้งหมด แล้วทำ OP อย่างเต็มที่เพื่อเป็นการถอนรากถอนโคนของโรคออกไปให้หมด ในกรณีที่เป็นโรคเรื้อรัง เป็นมานาน ต้องกินยาอยู่ ไม่อยากหยุดยา ก็ให้ทำ OP พร้อมๆ กันไป ก็ไม่เกิดผลเสีย

Dr Karach กล่าวว่า บางท่านอาจจะมีโรคที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันหลายโรคที่แสดงความเลวร้ายออกมาอย่างชัดเจน โรคแรกอาจเป็นโรคที่ติดเชื้อ ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่สิ้นหวังที่จะบำบัด และโรคอันดับรองลงมาก็จะเป็นผลจากโรคแรกที่ว่าแต่ก็เป็นๆ หายๆ ไม่กี่วันโรคอันอับรองๆ นั้นก็หายไปบ้าง ในขณะที่ก็มีบางโรคที่ถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้น มันเป็นอาการที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในกรณีของผู้ที่ทุกข์ทรมานกับเรื้อรังที่ เป็นมาช้านาน ในสภาวะเช่นนี้ Dr Karach แนะนำว่า ถ้าเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมาจงมุ่งมั่น อย่าท้อถอย ให้ปฏิบัติ OP ต่อไปอย่างต่อเนื่อง อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น และโรคทั้งหลายก็จะค่อยๆ เบาบางลง หรือหายไปทีละโรค ขอให้คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นหลังจากทำ OP แล้วโรคหลายโรคปะทุขึ้นมา มันเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบ เป็นสัญญาณเตือนที่ดีว่าโรคนั้นจะค่อยๆ หายไปในที่สุด

ตัวอย่างของปฏิกิริยาโต้ตอบที่เกิดขึ้น
-- จะเกิดอาการคันที่ผิวหนัง บริเวณที่ อักเสบจากอาการบาดเจ็บ หรือ เป็นแผลอยู่
- ในกรณีกระดูกหักจากอุบัติเหตุ อาการเจ็บปวดอาจจะมากขึ้นบ้าง ในช่วงที่อยู่ในกระบวนการบำบัด ให้เข้าใจว่าอยู่ในช่วยเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ ให้ทำ OP ต่อไปตามปกติ หรือเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 ครั้ง/วัน หรือถ้ามีอาการหนักเกินไป ก็ให้หยุดทำ OP ก่อนสัก 2-3 วันและค่อยกลับมาทำใหม่

ใช้ ยาตามที่หมอสั่งได้ แต่ให้น้อยลง เพื่อลดอาการเจ็บปวด และให้ทำ OP ต่อไปในขณะที่เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ มันไม่ใช่ว่าจะเกิดปฏิกิริยานี้ในทุกโรคทุกกรณีในการบำบัด ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง และผู้ป่วยที่ต้องทุกข์ทรมานมานาน
ปฏิกริยาตอบโต้อาจจะปรากฏจนทำให้โรคนั้นเลวร้ายขึ้นบ้าง ในช่วงนี้หลายท่านมีความคิดว่าจะหยุดทำ OP
ขอให้อย่าได้หยุดเด็ดขาด ให้ทำ OP ต่อไป นี่คือสัญญาณเตือนที่ดี ว่าโรคกำลังได้รับการบำบัดแล้ว
ให้ เข้าใจไว้ว่านี่คือปฏิกิริยาโต้ตอบ อย่าได้หยุดเลย เพราะเรากำลังได้รับการบำบัด ใช้เวลาอีกไม่นาน โรคภัยที่เป็นอยู่ก็จะหายไป สุขภาพที่ดีก็จะหวนกลับคืนมา แล้วเราก็จะได้มีความสุขกับสุขภาพที่ยอดเยี่ยมเสียที


บทความแปลจาก Oilpulling.com
โดย หมอแดง the-arokaya.com

การทำออย์พูลิ่ง บทความจาก http://www.itdnext.com/viewtopic.php?f=41&t=9

ออยล์พูลลิ่ง เป็นวิธีบำบัดของอินเดียที่มีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยการอมน้ำมันไว้และเคลื่อนน้ำมันไปให้ทั่วช่องปาก ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงบ้วนทิ้งไป ออยล์ พูลลิ่งเป็นที่ฮือฮาเมื่อ Dr. F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ในประเทศรัสเซีย เมื่อปี 2534-2535 การประชุมมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องมะเร็ง และแบคทีเรียซึ่ง Dr.Karach ได้อธิบายถึงการบำบัดรักษาโรคที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ด้วยวิธีง่ายๆ โดยใช้การอมน้ำมัน

ผลลัพธ์ ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ ทำให้ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัยในรายงานของเขาเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษา มีการทดสอบ ทดลองใช้ ทดลองทำ พิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น ต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายชนิด

รูปภาพ
Dr. Bruce Fife N.D. นักโภชนาการผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเขียนหนังสือไว้หลายเล่มรวมทั้ง Coconut Oil Miracle เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความสงสัยในรายงานดังกล่าว จึงได้ทดลองทำออยล์พูลลิ่งด้วยตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ Dr. Fife ถึงกับออกปากว่า ออยล์พูลลิ่งเป็นการรักษาของ แพทย์ทางเลือก ที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่สิ่งที่ Dr. Fife สงสัยคือ เหตุใดการอมน้ำมันจึงช่วยรักษาโรคได้ เขาเริ่มศึกษาการทำออยล์พูลลิ่งของ Dr. Karach อย่างจริงจังรวมทั้งศึกษารายงานอีกเป็นร้อยๆชิ้น ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่เป็นคำตอบทางวิทยาศาสตร์ซึ่ง Dr. Fife เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Oil Pulling Therapy มีใจความบางตอนดังนี้


- ในปากของคนเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย

ใน ปากของ เราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และโปรโตซัว แต่ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรีย เพราะปากเป็นแหล่งอาศัยที่เหมาะสม มีความร้อน ความชื้น และอุนหภูมิคงที่ ยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์จากเศษอาหารที่เรารับประทาน กล่าวกันว่าปริมาณแบคทีเรียในปากของคนคนหนึ่ง มีมากกว่าจำนวนประชาการของคนทั้งโลก แบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่บนผิวฟัน บางชนิดอยู่ในช่องว่างระหว่างฟันและเหงือก บางชนิดอยู่ที่เพดานปาก และบางชนิดอยู่ที่ใต้ลิ้นและโคนลิ้น การแปรงฟันและการใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยลดปริมาณแบคทีเรียเหล่านี้ลงได้แค่ เพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งไม่นานก็จะกลับมาแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นเดิม


- โรคร้ายทุกชนิดเริ่มต้นที่ปาก

อาจ ฟังดู เหลือเชื่อ แต่หากไม่นับโรคทางพันธุกรรม โรคทางอารมณ์ หรือโรคจากการบาดเจ็บต่างๆ โรคร้ายเกือบทุกชนิด รวมทั้งการเจ็บป่วยเรื้อรังต่างๆล้วนเริ่มต้นที่ปาก เนื่องจากปากเป็นประตูเข้าสู่ร่างกาย การรับประทานอาหารไม่ถูกต้องหรืออาหารที่มีพิษ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ยิ่งกว่านั้นในปากและลำใส้ยังเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียนับพันล้านตัว บางชนิดเป็นอันตราย บางชนิดไม่ และบางชนิดเป็นประโยชน์ ถ้าแบคทีเรียเหล่านี้สามารถเข้าสู่กระแสเลือด แม้แต่แบคทีเรียชนิดที่ไม่เป็นอันตรายก็สามารถทำให้เราถึงแก่ความตายได้ หากในปากของเรามีแผล หรือมีการอักเสบของเหงือกหรือเนื้อเยื่อ จะทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิดตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบไปจนถึงโรคหัวใจ


- ออยล์พูลลิ่งทำงานอย่างไร?

ออ ยล์พู ลลิ่งเป็นการบำบัดที่ทำได้ง่ายที่สุดแต่ก็มีประสิทธิภาพมากที่สุดในบรรดาการ รักษาทางธรรมชาติด้วยเช่นกัน สำหรับหลายๆคนมีความรู้สึกว่า แค่การอมและเคลื่อนน้ำมันไปทั่วๆปาก ไม่น่าจะช่วยรักษาโรคได้ อันที่จริงออยล์พูลลิ่งไม่ได้รักษาโรค แต่มันช่วยขจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคหรือเป็นตัวการปล่อยสารพิษให้ หมดไป เพื่อให้ร่างกายมีโอกาสได้ฟื้นฟู

ออยล์พู ลลิ่งเป็นกระบวนการทางชีววิทยาล้วนๆ แบคทีเรียในช่องปากที่ก่อให้เกิดโรคร้ายหรือปล่อยสารพิษแก่ร่างกายนั้น แต่ละเซลล์ของมันจะปกคลุมด้วยน้ำมันหรือเนื้อเยื่อที่เป็นไขมันซึ่งเป็น เรื่องธรรมดาของผิวเซลล์ (เซลล์ของคนเราก็ล้อมรอบด้วยส่วนผสมของไขมันเช่นเดียวกัน) เมื่อคุณเทน้ำมันลงในน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำกับน้ำมันจะแยกกันอยู่ไม่ยอมผสมรวมกัน แต่ถ้าคุณเทน้ำมันสองชนิดเข้าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำมันทั้งสองจะผสมรวมและดึงดูดซึ่งกันและกัน นี่คือความลับของออยล์พูลลิ่ง

เมื่อ คุณ ใส่น้ำมันลงในปาก เนื้อเยื่อที่เป็นน้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรียจะถูกน้ำมันดูดไว้ ขณะคุณเคลื่อนน้ำมันไปทั่วช่องปาก แบคทีเรียที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยแยกของเหงือกและฟันหรือตามซอกของฟัน จะถูกดูดออกจากที่ซ่อนและติดแน่นอยูในส่วนผสมของน้ำมัน ยิ่งนานยิ่งมาก หลังจากผ่านไป 20 นาที ส่วนผสมของน้ำมันจะเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส ฯลฯ คุณจึงควรบ้วนทิ้งไปมากกว่าที่จะกลืนมัน

เศษอาหาร ที่ติดอยู่ตามซอกฟันซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียจะถูกดูดออกด้วยเช่นกัน สิ่งที่ไม่ใช่น้ำมัน (water based) จะถูกดูดออกด้วยน้ำลาย น้ำลายยังช่วยลดกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย

เมื่อ แบคทีเรียรวมทั้งพิษร้ายที่เกิดจากแบคทีเรียถูกดูดออกไป จึงเป็นโอกาสดีที่ร่างกายได้ทำการฟื้นฟู การอักเสบทั้งหลายหมดไป กระแสเลือดเป็นปกติ เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการซ่อมแซม การมีสุขภาพดีจึงกลับมาในที่สุด


- น้ำมันชนิดใดเหมาะจะใช้ทำออยล์พูลลิ่ง?

ตาม ตำรา โบราณของอินเดียแนะนำให้ใช้น้ำมันดอกทานตะวันหรือน้ำมันงา เนื่องจากเป็นน้ำมันที่หาได้ทั่วไปในอินเดียขณะนั้น Dr. Fife กล่าวว่า น้ำมันชนิดใดก็สามารถใช้ทำออยล์พูลลิ่งได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบน้ำมันมะพร้าว เนื่องจากต้องการใช้น้ำมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ น้ำมันมะพร้าวเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันงา หรือน้ำมันพืชชนิดใดๆ (กรดลอริคในน้ำมันมะพร้าวเมื่อถูกกับเอนไซม์ในน้ำลายจะแตกตัวเป็นโมโนกลีเซ อไรด์ชื่อว่า โมโนลอริน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค) เหตุผลอีกประการหนึ่ง ชอบที่น้ำมันมะพร้าวมีรสชาตินุ่มนวล น้ำมันบริสุทธิ์ชนิดอื่นๆเช่นน้ำมันมะกอกและน้ำมันงามีกลิ่นรสรุนแรง น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นที่ได้รับการผลิตอย่างมีคุณภาพจะ มีความสะอาดถูกอนามัย แถมยังมีกลิ่นและรสชาติน่าพอใจอีกด้วย


- วิธีการทำออยล์พูลลิ่ง

*

ทำขณะที่ท้องว่าง จะดื่มน้ำก่อนหรือไม่ก็ได้
*

ใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นประมาณ 2-3 ช้อนชา อมไว้ในปาก
*

ค่อยๆ ดูด ดัน และดึง ให้น้ำมันไหลผ่านฟันและเหงือก
*

น้ำมันจะเปลี่ยนเป็นขุ่นหรือมีสีเหลือง
*

เคลื่อนน้ำมันไปทั่วๆปากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 15-20 นาที
*

จากนั้นให้บ้วนน้ำมันทิ้งไป
*

บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด ตามด้วยการดื่มน้ำ
*

ทำอย่างนี้วันละครั้งเป็นอย่างน้อย


- โรคที่ได้รับรายงานว่าตอบสนองต่อการทำออยล์พูลลิ่ง

ผล ของการทำออยล์พูลลิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ สุขภาพในช่องปากดีขึ้น ฟันขาวขึ้น แน่นขึ้นไม่โยกคลอน เหงือกเป็นสีชมพูแลดูมีสุขภาพ ลมหายใจสดชื่น นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าออยล์พูลลิ่งจะช่วยเยียวยาความเจ็บไข้หรืออาการป่วยเรื้อรังได้ อีกหลายชนิด ต่อไปเป็นชื่อของโรคหรืออาการเจ็บป่วยที่มีผู้รายงานเข้ามาว่ามีการตอบสนอง ที่ดีกับออยล์พูลลิ่ง: สิว ภูมิแพ้ รังแค ไซนัส ปวดหัวไมเกรน น้ำมูกมาก หืด หลอดลมอักเสบ ผิวหนังอักเสบ เรื้อนกวาง ปวดหลังปวดคอ ข้ออักเสบ กลิ่นปาก ฟันผุ ฟันเป็นหนอง เลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก ท้องผูก แผลในกระเพาะ ลำไส้ ลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร นอนไม่หลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน

ส่วน อาการหรือโรคที่การศึกษาทางการแพทย์พบว่า เกี่ยวข้องกับสุขภาพในช่องปากโดยตรงและอาจมีผลตอบสนองกับการทำออยล์พูลลิ่ง ได้แก่ ปัสสาวะเป็นกรด ปอดอักเสบ(ARDS) ถุงลมโป่งพอง การอุดตันของเส้นเลือดและเส้นเลือดในสมอง ผลเลือดผิดปกติ ฝีในสมอง มะเร็ง เกาท์ ถุงน้ำดี หัวใจ น้ำตาลในเลือดสูง แท้งบุตร ไต ตับ ความผิดปกติของระบบประสาท กระดูกพรุน ปอดบวม ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย แพ้สารพิษ และโรคติดเชื้ออื่นๆอีกหลายชนิด


- ช่วงเวลาที่เหมาะจะทำออยล์พูลลิ่ง

รูปภาพ
จาก กราฟแสดงให้เห็นว่า ปริมาณของแบคทีเรียในช่องปากมีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างวัน การรับประทานทำให้แบคทีเรียบางส่วนผสมกับอาหารและน้ำลายในที่สุดถูกกลืนลงไป ปริมาณแบคทีเรียมีมากสุดในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร การแปรงฟันช่วยลดปริมาณแบคทีเรียได้ไม่มากเนื่องจากฟันมีพื้นที่แค่ 10% ของช่องปาก ก่อนอาหารกลางวันปริมาณแบคทีเรียจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตอนก่อนอาหารเช้า และลดลงมากที่สุดภายหลังรับประทานอาหารเย็น เมื่อคุณหลับแบคทีเรียมีโอกาสกลับมาเพิ่มจำนวนขึ้นใหม่โดยไม่มีสิ่งใดมารบก วน การทำออยล์พูลลิ่งจึงควรทำเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แบคทีเรียในช่องปากมีปริมาณมากที่สุด.

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Urban Tree = ต้นไม้ในเมือง

Green Shop นำเสนอ
หัวข้อ Urban Tree = ต้นไม้ในเมือง

เรื่อง: ก้อย, ดี
ภาพ: ก้อย

กระแสความนิยมต่อการบริโภคสีเขียวเติบโตอย่างไม่ขาดสาย ยิ่งเมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้หนังเรื่อง Food INC ซึ่งได้ปรากฎต่อสายตาประชาชน หรือว่าจะเป็นการรณรงค์จากหน่วยงานสิ่งแวดล้อมต่างๆ หายหน่วยงานรวมถึงเครือข่ายตลาดสีเขียวด้วย ปลุกคนเมืองๆ อย่างเราให้ตื่น ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อการเป็นอยู่แบบเก่าๆ ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและหันมาแสวงหาแนวทางในการรักษ์โลกของเราด้วยการบริโภคสิ่งที่เป็นมิตรกับธรรมชาติกันมากยิ่งขึ้น

สำหรับวารสารตลาดสีเขียวเล่มนี้ขอแนะนำกรีนชอบป์ที่มีชื่อว่าร้าน urban tree กรีนสถานที่ดูดีเก๋ไก่แต่ก็เต็มไปด้วยสินค้าและแนวคิดการดำเนินชีวิตดีๆ ที่เชื่องช้าอย่างแนวๆ ทีมงานของร้านได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน “Slow Food Party” ครั้งที่ ๑ ที่ทางร้านจัดขึ้นก็เลยเกิดความประทับใจอยากเก็บมาเล่าให้พี่ๆ น้องชาวกรีนได้ลองชิม เอ้ย! ลองฟังกันดู เผื่ออยากจะแวะไปเยี่ยมเยียนหนุ่มสาวชาว urban tree กันน่ะ…

หนุ่มน้อยนักข่าวของเครือข่ายฯ เล่าให้เราฟังว่าตอนที่เดินเข้าไปในร้าน urban tree ครั้งแรก ก็ตกใจเพราะคิดว่าเดินเข้าผิดร้าน คิดว่าเป็นร้านนวดสปา แต่ดูไปดูมารอบๆ ตัวเต็มไปด้วยสินค้ากรีนท้องถิ่นหลากหลายพื้นที่ สินค้าแนวนี้ชาวกรีนไม่ควรพลาดเด็ดขาด ถามชื่อเสียงเรียงนามและที่ไปที่มาก็ได้ใจความว่าสาเหตุที่ตั้งชื่อร้าน Urban Tree ก็เพราะว่าเจ้าของอยากปลูกต้นไม้ แต่ในเมื่อไม่มีที่ดินให้ปลูกอย่างแต่ก่อนก็เลยอยากชวนพี่ชวนน้องหันมาปลูกต้นไม้แห่งการบริโภคอันดีงาม ปลูกต้น Urban Tree ด้วยการจับจ่ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอนแรกเจ้าของร้านเกิดความประทับใจใน “ข้าว” ภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าของท้องถิ่นไท และเพิ่งได้เรียนรู้ว่ามีพันธุ์ข้าวมากกว่าร้อยๆ สายพันธุ์ เก็บตัวเงียบอยู่ตามชุมชน เกิดความตื่นเต้นอยากหามาไว้ทานแต่ก็หายากจริงๆ ก็เลยเป็นอีกแรงบรรดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ก่อกำเนิดร้านกรีนแห่งนี้ขื้นมา พอเกิดความตื่นเต้นที่จะเปืดร้านก็เลยไปเจอหนังสือ Green Living ของเครือข่ายฯ เปิดอ่านหน้าต่อหน้าเป็นแรงกำลังใจได้แนวคิดให้เปิดร้านออร์แกนิคส์ดังกล่าวขื้นมาอีกทาง พอได้ยินเรื่องราวถึงตอนนี้ ทีมงานตลาดสีเขียวก็หน้าแดงและยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว (ก็ชมกันดื้อๆ นี่)

คุยไปคุยมาทางร้านก็แอบกระซิบสูตรยำเห็ดสามอย่างที่ทำได้ง่ายและสุขภาพดี ยิ่งหน้าฝนเช่นนี้หาเห็ดตามฤดูกาลได้ง่ายนัก สูตรมีอยู่ว่า นำเอาเห็ด ๓ ชนิด มาย่างเช่น เห็ดหูหนู เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า (ดีที่สุดถ้าหาเห็ดป่าได้ อย่าลืมแวะไปหาเห็ดออร์แกนิคส์ที่ตลาดนัดสีเขียวในวันพฤหัสที่อาคารรีเจ้นท์เฮาส์น่ะ ฮิฮิฮิ แอบโฆษณาตนเอง) ส่วนผสมน้ำยำก็คือ ใช้น้ำมะขามเปียก ข้าวกล้องอินทรีย์คั่วหอม ซีอิ๊วอินทรีย์รสอร่อย น้ำตาลทรายแดงแบบไม่ฟอกสี พริกขี้หนูตามชายรั้ว ปรุงรสตามชอบใจและนำมาคลุกให้เข้ากันกับเห็ดทั้งสามอย่างที่ย่างไว้แล้ว ตบท้ายโรยด้วยงาดำ เสิร์ฟพร้อมกับผักเครื่องเคียงริมรั้วทั่วไป รสชาดอร่อยถึงใจ ได้ทั้งคุณค่าทางอาหาร ไฟเบอร์ธรรมชาติ ทั้งยังช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างภายในตับ ลดอนุมูลอิสระที่จะเกิดเป็นเซลล์มะเร็ง โปรตีนในเห็ดที่ร่างกายดูดซื่มไปใช้งานได้ง่ายที่สุดเลย อื้อฮื่อ ดีอย่างงี้ต้องเอาไปลองทำที่บ้านแล้วหล่ะ

ฟังไปฟังมาเราก็ได้เข้าใจว่า อุดมการณ์อันสูงสุดของเจ้าของร้านคือการที่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขภาพดีและอารมณ์ดี เปิดร้านไว้คอยพี่น้องชุมชนคนกรีนทั้งหลาย เกิดการสนทนาดีๆ เกี่ยวกับชีวิตและการเป็นอยู่อย่างเป็นสุข คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เราเลือกที่จะ “อยู่” และ “เป็น” ได้ทุกๆ ลมหายใจ มาเร็วๆ มาเร็วๆ มาหายใจเข้าออกอย่างเป็นสุขร่วมกัน หันไปมองข้างหลังมีชาอินทรีย์และสมุนไพรรสดี ได้จิบชาแล้วชื่นใจจริงๆ (กาแฟออร์แกนิคส์ก็มีน่ะตัวเอง) แถมสินค้าทำมือ เอ้ะ ข้างๆ ก็มีข้าวแต๋นธัญญพืชธรรมชาติ ฝีมือเจ้าของร้านอีกต่างหาก มองไปทางไหนช่างรื่นตารื่นใจเสียงจริงๆ

นอกจากสินค้านานาพันธุ์แล้วทางร้านยังมีอาหารออร์แกนิคส์รสชาติดี ปรุงกับมือเจ้าของร้านรับประกันความอร่อย ถึงแม้แม่ครัวเจ้าของร้านจะมีพื้นเพมาทางสถาปัตย์ (มิน่าหล่ะแต่งร้านซะสวยเชียว) แต่ก็มีรสมือถึงใจมิใช่เล่น หากสนใจมารับประทานอาหารเคียงข้าว (ข้าวอินทรีย์ร้านนี้อร่อยจริงๆ)และชิมเมนูอันหลากหลาย ก็ลองโทรศัพท์ติดต่อไปที่ โทร. 02-243-2989 หรือ โทร. 081-974-0290 เพื่อสำรองที่นั่งรับประทานอาหาร หรือหากอยากไปดูร้านกับตา ก็ลองแวะไปแถวแยกบางกระบือ ร้าน urban tree อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนราชินีบน เยื่องๆ กรมชลประทาน ปากซอยสามเสน 24 น่ะ

อย่าถือว่าเป็นการโฆษณาเลย แม้ว่าร้านนี้จะเปิดได้เพียงสองสามเดือนแต่ลูกค้าชาวกรีนทั้งหลายต่างก็มาอุดหนุนกันอยู่ไม่ขาดสาย ทั้งหัวเขียวหัวดำหัวแดง แวะกันมาตลอด แห่ม! ก็แต่งร้านสวยขนาดนี้ใครจะพลาดได้ยังไง ขอเชิญชาวเราๆ ทั้งหลายแวะไปดูกันน่ะ ฉบับหน้าทีมงานเครือข่ายจะหาข่าวร้านกรีนชอปดีๆ เก๋ๆ อย่างนี้มาฝากอีก ฉบับนี้ขอลาไปกินเห็ดสามอย่างก่อนน่ะ อืมสุขภาพดีมาแล้วจ้า

ยินดีต้อนรับสู่ ร้าน Urban Tree น่ะ

Urban Tree คือร้านออร์แกนิคส์หรือร้านที่จำหน่ายสินค้าจากธรรมชาติ ที่ผลิตโดยเกษตรกรหรือชุมชนในท้องถิ่น ราคาประหยัดและคุณภาพดี ร้านตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ บริเวณสี่แยกบางกระบือ เป้าหมายคือการสร้างจิตสำนึกในการบริโภคสิ้นค้าเกษตรอินทรีย์จากชุมชนในท้องถิ่นและรณรงค์การบริโภคสินค้าที่สนับสนุนชุมชนท้องถิ่นอันเป็นหนทางหนึ่งในการรักษาโลกใบเล็กๆ แห่งนี้เอาไว้ ต้นไม้ Urban Tree ได้เริ่มผลิใบช่อแรกไปเมื่อวันที่ ๑๑ พ.ค. ๒๕๕๒ นี้ ขอเชิญทุกๆ ท่านมาร่วมสร้างชุมชนแห่งการบริโภคสิ่งที่ปลอดภัยและเป็นสุขกันเถอะ

Urban Tree is an organic store situating right in the middle of Bangkok, we promote healthy living and green consumption. We definitely support the local organic producers and urge us to save our world through consuming organic products and change our way of life. "Serve the local, buying locals". Please come and enjoy a conversation about food, health, organic with a cup of tea or coffee or just simply chat with our staff. See you soon!